คำ ผกา | สงกรานต์ คาร์นิวัลแห่งอุษาคเนย์

คำ ผกา

สงกรานต์ทีไรคนไทยก็ต้องเผชิญกับทางสองแพร่ง

แพร่งที่หนึ่ง คือความพยายามชำระประเพณีสงกรานต์ให้บริสุทธิ์ผุดผ่องและเป็นไทยแท้

แพร่งที่สอง พยายามจะอธิบายว่าสงกรานต์นอกจากจะไม่ใช่ของไทยชาติเดียวแล้ว ยังไม่ได้งดงาม ผุดผ่อง อย่างที่คนในแพร่งที่หนึ่งกล่าวอ้างกัน

ก่อนจะพูดถึงแพร่งที่หนึ่ง เรามาดูแพร่งที่สองก่อนดีกว่า

สงกรานต์ถูกเรียกว่า “ปีใหม่ไทย” เมื่อเราเริ่มเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ให้ตรงกับสากลเป็นวันที่ 1 มกราคม ส่วนคนล้านนา เรียกวันสงกรานต์ว่า “ปีใหม่เมือง” อันแปลว่า ปีใหม่ของ “คนเมือง” นั่นเอง

สิ่งที่ทำในวันสงกรานต์ก็หลากหลายไปตามกลุ่มชาติพันธุ์ มอญก็มีสงกรานต์อีกแบบ คนภาคกลางก็มีสงกรานต์อีกแบบ คนลาวก็มีสงกรานต์อีกแบบ

คนเมืองหรือคนล้านนาก็มีสงกรานต์ที่ต้องก่อเจดีย์ทราย เอาตุงไปวัด สละสลุง หรือชำระล้าง ทำความสะอาดบ้าน เครื่องมือในการทำมาหากิน ไหว้ทั้งผี ทั้งพระจนถ้วนหน้า เรื่อยไปจนถึงการเอาของไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการเอากระเช้าของขวัญไปไหว้ “ผู้ใหญ่” ในเทศกาลปีใหม่ เพื่อแสดงความรัก ความระลึกถึง

นอกเหนือจากพิธีกรรมการไหว้พระ ไหว้ผี ไหว้ผู้ใหญ่ ก็มีการละเล่น การดื่มเหล้า แล้วดูเหมือนการออกนอกลู่นอกทาง การกินเหล้าจนเมามาย เสียสติ การเริงระบำรำฟ้อน การปล่อยเนื้อปล่อยตัวออกนอกกฎ ระเบียบ ที่เคยปฏิบัติมาทั้งปี จะเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ในห้วงเวลาพิเศษ 3 วันนี้

พูดง่ายๆ ว่าเป็นช่วงปล่อยผี

ใครจะกินเหล้าแต่เช้า เมานอนไปเรื่อยเปื่อย

หรือจะฉลอง จะเปิดเพลง จะกินเลี้ยง จะปาร์ตี้ ก็ไม่มีใครว่า

ถือเป็นห้วงเวลาแห่งการให้รางวัลตัวเอง ไม่มีใครถือสาใคร

AFP PHOTO / ROSLAN RAHMAN

ตัวฉันเองจำได้แม่นว่า 3 วันในช่วงสงกรานต์ จะเป็นช่วงที่ยายไม่ดุไม่ด่าเลย ทั้งๆ ที่ปกติจะด่าทอ และบังคับให้ทำงานทุกลมหายใจ

แต่พอสงกรานต์ปุ๊บ ยายจะบอกว่า “ไปเล่นน้ำสิ” “ไปเที่ยวสิ” “อย่าอยู่บ้าน ไปเที่ยวๆ” แล้วจะไม่มีการทำงานใดๆ ทั้งสิ้น

เราจะได้รับอนุญาตให้ทำในสิ่งที่ปกติไม่ได้ทำ เช่น ออกไปเล่นน้ำแต่เช้า กลับบ้านจนค่ำ ด้วยเนื้อตัวที่เปียกปอน หนาวสั่น

นอกจากจะไม่ห้าม ผู้ใหญ่ยังช่วยอำนวยความสะอวด หาเสื้อผ้าให้ หาโอ่งน้ำ ถังน้ำ

บางปี ยายฉันยังไล่ให้เอากะละมังใส่น้ำไปยืนหน้าบ้านคอยสาดน้ำคนตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน!!!!

AFP PHOTO / Lillian SUWANRUMPHA

คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ คือคนที่พยายามยืนยันแพร่งที่ 2 ที่เฝ้าเขียนประวัติศาสตร์สงกรานต์ ว่านอกจากจะไม่ไทย และอาจไม่เคยมีการสาดน้ำ มันยังเป็นเทศกาลแห่งความ wild things หรือพฤติกรรมอันดิบเถื่อน ซึ่งฉันขอยกมาให้อ่านเต็มบทความ เพราะหากยกบางส่วนมา มันก็ไม่ถึงใจ

สงกรานต์สมัย ร.3 ชาวบ้านนอกจากไปวัดเพื่อทำบุญ กับสรงน้ำพระแล้ว ยังมีพวกนักเลงเล่นต่างๆ โดยเฉพาะเล่นพนันทั้งบ้านทั้งเมือง เป็นที่รับรู้ทั่วกัน เสมียนมี กวียุคนั้นจึงเขียนนิราศเดือน พรรณนาว่า

บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วจนมัวมืด ใครขี้ตืดถากถางวางกันเหลิง บ้างฉุดมือยื้อผ้าด่ากันเปิง ที่รู้เชิงทำแปดเก้าเป็นเจ้ามือ เขาตัดไพ่ตายแพ้เหลือแต่ผ้า สิ้นปัญญาบ่นพลางครางหือๆ นั่งเสียใจเต็มทีต้องหนีมือ ไม่สัตย์ซื่อทำไพ่ตายเขาเอง ดูเขาเล่นเป็นฤดูไม่รู้ขาด นุชนาฏพึ่งกะเตาะขึ้นเหมาะเหม็ง บ้างก็หลงเลยเล่นเป็นนักเลง ฉันนี้เกรงกลัวนักไม่รักเลย

ทั้งหนุ่มสาวฉาวฉานด้วยการเล่น บ้างซุ่มเป็นผัวเมียกันเสียเฉย

AFP PHOTO / MADAREE TOHLALA

เรื่องสำมะเลเทเมามั่วสุมเล่นพนันขันต่อ ย่อมมีในคนกลุ่มหนึ่งเป็นปกติวิสัยสังคมโลกทุกยุคทุกสมัย

ดังนั้น จึงมีสืบเนื่องมาถึงยุค ร.5 ดังมีในโคลงพระราชพิธีทวาทศมาส พระนิพนธ์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ พรรณนาว่า

๏ สงกรานต์ชาวบ้านเที่ยว  ตามสบาย
หญิงปะปนฝูงชาย            แซ่ซ้อง
บางคนที่เมาหมาย            เย้าหยอก ยั่วนา
พบพวกที่เกี่ยวข้อง            ขัดแค้นต่อยตี

๏ บางคนนัดบ่อนเหล้น      การพนัน
โปถั่วทุกสิ่งสรรพ์              ดวดไผ้
ได้เสียทุ่งเถียงกัน              เอะอะ ถึงเอย
เกิดวิวาทจับได้                เฆี่ยนซ้ำเสียเงิน

ขอให้สังเกตกลอนของเสมียนมีที่ยกมา 2 วรรคสุดท้าย ว่า “ทั้งหนุ่มสาวฉาวฉานด้วยการเล่น บ้างซุ่มเป็นผัวเมียกันเสียเฉย”

เป็นพยานว่าหนุ่มสาวยค ร.3 นิยมแอบเล่นเป็นผัวเมีย ก็คือซุ่มเล่นเซ็กซ์นั่นแหละ

พวกที่ชอบอ้างว่าหนุ่มสาวสมัยก่อนไม่ชิงสุกก่อนห่าม ก็ขอให้รู้ด้วยว่าไม่จริงทั้งหมด ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนต้องมีหนุ่มสาว “ซุ่มเล่นเซ็กซ์” เป็นปกติวิสัยกันทั้งนั้นเมื่อมีโอกาส

จึงควรแนะนำวัยรุ่นปัจจุบันให้ป้องกันมีท้องหรือมีโรค ดีกว่าประณาม ใครที่ชอบดุด่าวัยรุ่นยุคนี้ ชะรอยจะเป็นพวกผิดปกติ? (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1366181586&grpid=&catid=02&subcatid=0207)

AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

กลุ่มคนแพร่งที่สอง ที่มี คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นหัวหอกนี่เขาโต้ตอบกับใคร?

คำตอบคือพวกคนแพร่งที่หนึ่งนั่นเอง

คนแพร่งที่หนึ่งที่มาจากไหน ยังไง ก็ไม่อาจรู้ได้ ที่แน่ๆ อยู่ๆ พวกเขาก็เกิดไม่ชอบสงกรานต์แบบ wild things ของชาวบ้านชาวช่อง

แล้วอยู่ๆ พวกเขาก็เกิดมโนขึ้นมาว่า สงกรานต์ไทยแท้แต่โบราณน่าจะห่มสไบ พับเพียบ เรียบร้อย กรองมาลัยดอกพุด ดอกมะลิ จากนั้นก็ประพรมน้ำหอมๆ เย็นๆ ให้แก่กันเพียงเล็กน้อย

หนุ่มสาวก็คงหยดน้ำใส่หัวไหล่กัน พร้อมกับส่งสายตาโรแมนติก ฝ่ายหญิงสะเทิ้นอาย ก่อนจะพบรัก สู่ขอ แต่งงาน

และอันสืบเนื่องจากประเพณีรดน้ำดำหัว บรรดาคนกลุ่มแพร่งที่หนึ่ง เลยทึกทักเอาว่า ไอ้หยะ นี่มันคือคุณค่าแห่งความกตัญญูของคนไทยที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก เราช่างเป็นชนชาติที่มีความเคารพรักในผู้เฒ่าผู้แก่อย่างที่สุดไม่ได้ โอ้ ความเป็นไทยช่างงดงามเหลือเกิน

นี่แหละคือสงกรานต์แท้ๆ สงกรานต์แห่งประเพณีอันเก่าแก่ ดั้งเดิม ออริจินอล ที่ยังไม่แปดเปื้อนความโสมมของคนสมัยใหม่

มีอย่างที่ไหน สงกรานต์แล้วมานุ่งน้อยห่มน้อย กะทงกะเทยออกมาเต้น มาทำลามกจกเปรตกับฝรั่ง ไอ้ อี นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ตัวดีนัก เห็นแก่ความสนุก ไม่สนใจว่าจะมาย่ำยีประเพณีอันเก่าแก่ของเรา แล้วผู้หญิงทั้งสาวทั้งแก่ทั้งหลายที่มานุ่งน้อยห่มน้อยเล่นน้ำ เต้นๆ ยั่วยวนก็อย่ามาร้องแรกแหกกระเชอว่าถูกลวนลามทางเพศ ใครใช้ ใครสั่งใครสอนให้แต่งตัวโป๊

เรื่องแบบนี้คนดีๆ เขาไม่ทำกัน คนมีสติสตังค์ คนที่ห่วงความปลอดภัยของตัวเองเขาไม่ทำกัน แต่งตัวชะเวิกชะวากขนาดนั้นแล้วโดนข่มขืนก็สมควร

ในกลุ่มแพร่งที่ 1 นั้น บางคนถึงกับด่าคนเล่นน้ำสงกรานต์แบบ wild wild ว่า “เลว” กันเลยทีเดียว

AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

ถึงที่สุดแล้วสงกรานต์ควรเป็นอย่างไร?

สำหรับฉันสงกรานต์คืองานเทศกาลคือ festival คือ คาร์นิวัลย่อยๆ เสร็จจากพิธีทางศาสนา ความเชื่อ มันคือ ความ gone wild ล้วนๆ คือ สนุกสุดเหวี่ยง ก้าวข้ามทุก taboo ของสังคมปกติ

ไม่ต่างจากเทศกาลปามะเขือเทศใส่กัน เทศกาลสาดสีใส่กัน เทศกาลปานู่นปานี่ใส่กัน ที่เป็นการทำลายทุกช่วงชั้นอำนาจของสังคมปกติ เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด บาดหมางของคนในสังคม อะไรที่เป็นของต้องห้ามก็จะได้รับการยกเว้นชั่วคราวในเทศกาลแบบนี้

แล้วในความที่ทุกคน gone wild ในรูปแบบต่างๆ เมื่อมาแต่งงานกับวัฒนธรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมทางท่องเที่ยว มันคือความลงตัว ของความสนุก การโปรโมตการท่องเที่ยวของชาติ และเม็ดเงินที่ได้จากอุตสาหกรรม

วารสาร อสท. ในยุคแรก จึงมีรูปการสาดน้ำอย่างอึกทึกของคนเชียงใหม่ บอกเป็นนัยว่า นี่คือความสนุกสุดเหวี่ยงแบบคาร์นิวัลที่นักท่องเที่ยวจะได้รับความสนุกสนานอย่างเต็มที่

นับแต่นั้น ภาพจำของเทศกาลสงกรานต์เมืองไทยคือแบบนี้ แบบที่เรามีรากเหง้าโบราณว่าด้วยการก้าวข้ามทุก taboo ไปชั่วคราว ผสานกับคาร์นิวัล การแต่งแฟนซี การเกี้ยวพาราสี ไปจนถึงการล่วงล้ำก้ำเกินทางเพศ ที่ทุกคนที่เอาตัวไปอยู่ในคาร์นิวัลก็ต้องไปจัดการความเสี่ยงกันเอาเอง

และเป็นโอเอซิสแห่งความสนุกไร้ขีดจำกัดของนักท่องเที่ยวที่ไม่คิดอะไรนอกจากมากอบโกยความสนุก

AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

สิ่งที่รัฐพึงบริหารประชาชนคืออะไรในฐานะที่รัฐจะได้รายได้จากตรงนี้มหาศาล

รัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวก ปลอดภัย ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกคน

และคงเป็นโจทย์พิเศษว่า ในกรอบของความเป็นคาร์นิวัล รัฐต้องเตรียมการพิเศษอย่างไร เพื่อให้คนได้ gone wild สมกับเป็นคาร์นิวัล

ขณะเดียวกันก็มีการกำกับความปลอดภัยอยู่ห่างๆ แต่พร้อมจะเข้ามาจัดการหากเกิดอะไรขึ้น

โมเดลการจัดการความปลอดภัยแบบนี้ ก็ไม่น่าจะยาก หากเราไปดูว่า คาร์นิวัลใหญ่ๆ อย่างในบราซิลหรืออิตาลี เขาจัดการความปลอดภัยกันอย่างไร และนำมาปรับใช้กับบ้านเรา นอกเหนือไปจากการปิดถนนเพื่อขบวนแห่และความบ้าบอต่างๆ ของเทศกาลที่อาจรวมไปถึงพาเหรดกะเทย ขบวนแห่ การเอารถกระบะมาดัดแปลงให้เป็นรถแฟนซีแห่แหนไปนานารูปแบบ

และแน่นอนว่า ในคาร์นิวัล ย่อมมีการแต่งตัวที่ประหลาดล้ำ ไปจนถึงการแต่ง “อนาจาร” ในรูปแบบต่างๆ เพราะถ้าไม่อนาจารหรือโป๊เป็นพิเศษ ก็เท่ากับ taboo ต่างๆ ไม่กลายเป็นข้อยกเว้น ซึ่งนั่นก็เท่ากับหัวใจของเทศกาลพังพินาศ

ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องเดือดเนื้อร้อนใจกับการอนาจารร่างกายในคาร์นิวัลนี้เท่าไรนัก และพึงมีอารมณ์ขันกับมันบ้าง

สำคัญที่สุดการแต่งตัวโป๊ ไม่ว่าจะของเพศไหนก็ไม่ใช่ข้ออ้างของการลวนลามทางเพศที่ปราศจากความยินยอม – ถ้ายินยอมก็อีกเรื่อง นี่คือ เทศกาลและคาร์นิวัลที่ควรจะเป็น

สำหรับฉัน สงกรานต์คือคาร์นิวัล คือความยกเว้น คือการก้าวข้าม taboo ของโลกปกติ เป็นการและเป็นกาลชั่วคราว…ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการเข้าถึงหัวใจของสงกรานต์ โดยปราศจากอุปสรรค