เสียงจาก ‘หมอเอก’ ส.ส.ก้าวไกล : นายกฯออกเถอะ ให้คนมีศักยภาพมาทำหน้าที่แทน

“ที่ท่านทำงานแบบนี้ ท่านก็น่าจะต้องระวังตัวไว้ให้ดี ประชาชนเขาไม่ไหวแล้ว เช่น การไปจับคนแบบที่ระยอง ที่ชูป้ายกระดาษ 2 คน ท่านกลัวอะไรกระดาษ ท่านคือค้อน ท่านกลัวประชาชน ตรงนี้มันชัดเจนแล้วว่า ไม่ต้องระวังตัวพวกเราในสภาเลย พวกผมไม่มีอะไร ไม่มีปืน ไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีเครือข่ายกลุ่มทุนอะไรที่จะมาสู้ท่านได้ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือประชาชนเขาจะไม่เอาท่าน พ.ร.ก.ฉุกเฉินประกาศไปเถอะ อยู่กับมันไปเถิด อยู่ไปแล้วประชาชนเขาไม่เอา จะอยู่อย่างไร นโยบายการกระทำต่างๆ ที่ประชาชนเขาไม่เอาด้วยจะอยู่อย่างไร ท่านก็ต้องระวังตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน”

คือมุมมองจากหมอเอก เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย พรรคก้าวไกล

: ฝ่ายตรงข้ามถามว่า ทำไมต้องเอาความเดือดร้อนมาเล่นแต่การเมือง?

ส.ส.เอกภพกล่าวตอบประเด็นนี้ว่า ถ้าเราติดตามดูจะเห็นได้ว่าในสภาเรามีข้อเสนอแนะที่เป็นมาตรการดีๆ ข้อเสนอดีๆ ที่เราเอาเสียงของประชาชนส่งให้รัฐบาลได้ยิน รัฐบาลเคยฟังหรือเปล่า ที่เขาบ่นกันตาม Social Media

นอกจากจะไม่ฟังเขาแล้ว ยังเข้าไปจับกุมเขา

เราไม่ได้เล่นเกมการเมือง มันมีข้อเสนอหลายอย่าง เช่น เวลาผมอธิบายในสภาทุกครั้งเราก็พยายามเสนอแนะหลักการ วิชาการที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ประชาชนเดือดร้อนยังไง และในทางการแพทย์ควรทำอย่างไร

มองไปที่กรณีดราม่าระยองหนล่าสุดที่มีการวิพากษ์เรื่อง VIP แล้วทางกองเชียร์รัฐบาลออกมาสื่อสารเป็นเพียงความผิดเพียงหนเดียว กับการที่รัฐบาลทำดีมาตลอดไม่เคยชมนั้น

ผมคิดว่าเราอาจจะต้องฟังความดูความให้รอบด้าน ถามว่าผิดครั้งเดียวจริงไหม

ถ้าย้อนไปตั้งแต่การจัดการล่าช้า ปิดประเทศช้า การเยียวยาที่ผิดพลาด ปัญหาสนามมวย หลายอย่างมาจนถึงทุกวันนี้เป็นการที่ปล่อยปละละเลย

สิ่งที่ผู้นำพยายามทำตลอดมา คือทำดูเหมือนว่าประชาชนอยู่คนละชั้นกัน จากพฤติกรรมต่างๆ ที่เป็นมามันบ่งชี้อย่างนั้น

: ห่วงระบาดรอบ 2 หรือไม่?

ผมเองมองว่าตามธรรมชาติของโรค การระบาดรอบ 2 มันเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ถ้าเราไปดูประวัติศาสตร์อย่างการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 มีการระบาดถึง 3 ระลอก กว่าจะจบลง

แต่อันนี้รัฐบาลเองออกมาพูดออกมาย้ำตลอดว่าแล้วรอบ 2 ระวังนะ ประเทศนั้นประเทศนี้พอเปิดแล้วก็เลยมีรอบ 2 โดยที่ไม่ได้บอกประชาชนว่าจริงๆ แล้วการเกิดระบาดรอบ 2 มันมีขึ้นได้ แต่จะทำอย่างไรในการป้องกันให้มันเกิดขึ้นน้อยที่สุด จะเห็นได้ว่าความผิดพลาดของการบริหารจัดการมันเกิดมาตั้งแต่แรก

แล้วที่ผู้ติดเชื้อเป็น 0 ที่ผ่านมาถ้ามองดีๆ มันไม่ใช่ความสำคัญของรัฐบาลหรือศูนย์บริหาร covid แต่มันเป็นความสำเร็จเกิดขึ้นจากระบบสาธารณสุข ที่มันดีอยู่แล้ว ทั้งการควบคุมโรค รวมถึงระบบชุมชนทุกอย่างที่ทำให้เข้มแข็งดี

นี่คือสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของรัฐบาลเลย แถมกลายเป็นว่าการบริหารของรัฐบาลมีความสับสนด้วยซ้ำไป

: วิสัยทัศน์รัฐบาล กับการกู้เงินครั้งมหาศาล

การที่บอกว่าคนไม่ติดเชื้อ 0 คน แถมช่วงนี้ไม่มีคนฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจ ผมถามว่ายังมีคนที่ซึมเศร้า มีความเครียด มีปัญหาครอบครัว มีเรื่องราวในชีวิตอีกเท่าไหร่ที่เขายังไม่ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ตรงนี้ที่เราจะต้องดูให้ครบทุกมิติ

ปัญหาของ covid ไม่ได้มากเท่าปัญหาของชีวิตความเป็นอยู่ โดยที่ความกลัวถูกสร้างขึ้นมา เมื่อเรามองไปที่ตัวเลขผู้เสียชีวิต โคโรนาไวรัสในประเทศ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ มีเพียง 58 ราย อุบัติเหตุจราจรในแต่ละวัน คนเสียชีวิตน่าจะมากกว่า การเสียชีวิตจากโรคหัวใจ เส้นเลือดและโรคอื่นก็มากกว่าด้วยซ้ำ

เราต้องมาตั้งหลักกันใหม่ โดยเอาข้อมูลทางวิชาการมาพูดกัน เพื่อวางแผน ว่าเราจะจัดการกันอย่างไรต่อ

จนถึงวันนี้ผมยังไม่เห็นแผนว่าจะนำพาประเทศต่อไปอย่างไรในอนาคต

การใช้เงินกู้หลายแสนล้านสำหรับการฟื้นฟู คำถามก็คือว่า โครงการที่ส่งเข้ามาในสภา เช่น ถนนต้านโควิด ขุดบ่อน้ำต้านภัยโควิด คือโครงการที่ถ้าไปดูจริงๆ แล้วเป็นการยึดเอาโครงการที่เคยตกไปในปีก่อนๆ มาใหม่

หรือกระทั่งระบบสาธารณสุขของไทยที่ทั่วโลกชื่นชม เรามีศักยภาพเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ได้ แต่เรากลับไม่เห็นแผนวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในการที่จะทำหรือผลักดัน ที่ผ่านมาเราเห็นแต่การรับมือที่ผิดพลาดล่าช้า เดินไล่ตามปัญหามาตลอด การเยียวยาทำไม่ทั่วถึงและไม่มีวิสัยทัศน์ในการนำประเทศไปข้างหน้า

สำหรับปีงบประมาณ 2564 มีเงินกู้ เงินงบประมาณรวม 4-5 ล้านล้านบาท สำหรับการใช้จ่ายเพื่อสร้างประเทศให้ก้าวต่อไปหลังยุค covid แต่เรากลับไม่เห็นแผนอะไรเลย

ผมถามเลยว่ามีใครมองไหมว่าหลัง covid ประเทศเราจะเกิดอะไรขึ้น จะเดินไปทางไหน?

เราจะกลายเป็นประเทศที่ยากจนไปกว่าเดิมนะถ้าเราไม่ทำอะไรเลย แต่กู้เยอะ หนี้ถูกส่งต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน เราจะยอมให้เป็นแบบนั้นหรือ

นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น ประเทศเราเปลี่ยนได้ เป็นประเทศที่พร้อมได้ เรามีศักยภาพ มีคนที่มีคุณภาพ แต่มันอยู่ที่บริหารจัดการและวิสัยทัศน์ของผู้นำ

: สภาวะแย่งเก้าอี้ดนตรีของคนในรัฐบาลมองอย่างไร

มันสามารถตอบคำถามอะไรได้หลายอย่างว่า คนบางคน บางกลุ่มมีความยึดโยงกับประชาชนหรือกับอำนาจกันแน่ ยึดโยงกับผลประโยชน์ของประชาชนหรือยึดโยงกับผลประโยชน์นายทุน คนบางคนยึดโยงกับพวกพ้องหรือประชาชนส่วนใหญ่

อันนี้ประชาชนน่าจะเห็นแล้วให้คำตอบได้ว่าที่ผ่านมา ค่อนข้างแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าประชาชนไม่ได้รับการเหลียวแล ประชาชนเป็นแค่คนที่เขาโยนเศษเนื้อ โยนเศษขนมเค้กที่แบ่งกันแล้วเหลือมาให้ ประชาชนไม่ได้อยู่ในสมการของผู้มีอำนาจ

ในห้วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่เห็นและเป็นอยู่ ไม่มีประชาชนอยู่ในความคิดของเขาเลย นี่เป็นเรื่องของกลุ่มอำนาจ กลุ่มผลประโยชน์ และรัฐราชการ ไม่คำนึงถึงว่าผลประโยชน์จะไปสู่ประชาชนเท่าไหร่แล้วก็อย่างไร เห็นจากงบประมาณที่เรากำลังพิจารณาอยู่ ทั้งการสร้างอาคารสำนักงานที่ตั้งตึก ซื้อครุภัณฑ์ฟุ่มเฟือย ทำถนน งบประมาณในการจัดอบรมสัมมนาที่ไม่มีประโยชน์กับประชาชนและมีอยู่เยอะมากมาย เราต้องเปลี่ยนตรงนี้ให้ได้ สู่ทางรอด

หลังจากยึดอำนาจนั้นมาแล้ว ใช้ปลายกระบอกปืนจากภาษีประชาชนไปยึดอำนาจรัฐบาลที่เป็นของประชาชนมา คุณเข้ามาอยู่ในอำนาจสืบทอดอำนาจได้จาก 250 ส.ว.ที่คุณเลือกมา ที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทุกวันนี้แสดงให้เห็นหรือยังว่ามีผลงานพอที่จะให้ประชาชนพอได้ชื่นชมคุณบ้าง

เราลองไปไล่ดูผลงาน ไม่มีอะไร ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนเป็นอย่างไรบ้าง เงินในกระเป๋าเป็นอย่างไร วัยรุ่นเยาวชนที่กำลังจะจบมหาวิทยาลัยและกำลังจะขึ้นเรียน เขาได้พอมีโอกาสมองเห็นอนาคตตัวเองบ้างหรือไม่

เขาจะมองเห็นไหมว่าอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะด้วยรัฐธรรมนูญ การบริหารจัดการที่ผ่านมามันโดนดึงให้กลับไปเป็นการย้อนยุคถอยไปหมด ทั้งที่คนอื่นทั่วโลกเขาไปข้างหน้าหมดแล้ว ประเทศเราจะไปตรงไหน เถียงกันให้จบก่อนดีไหม ตกลงตำแหน่งกันให้เสร็จก่อนได้ไหม

พวกผมให้โอกาสคุณเลย อยู่ไปเลย 4 ปีให้คุณบริหารไปไม่ต้องลาออก ไปปรับคณะรัฐมนตรี ไปเคลียร์ผลประโยชน์ให้ลงตัว แล้วใช้ระยะเวลาที่เหลือบริหารประเทศให้เห็นหน่อยว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงจากปีที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง นี่คือสิ่งที่อยากให้เป็น

ย้อนกลับไปต้นเหตุของการรัฐประหาร คือ การกล่าวหาว่านักการเมืองมันแย่ มันเลว มันไม่ดีต้องมาปฏิรูปประเทศกัน ต้องมาปฏิรูปการเมืองกัน จนถึงตอนนี้คุณเห็นการปฏิรูปบ้างหรือเปล่า?

คุณเห็นหรือไม่ว่าสิ่งที่เขาทำทุกวันนี้ มันยิ่งกว่าสิ่งที่นักการเมืองที่เขามายึดอำนาจและรัฐประหารมาวันนั้น ทำอีกนะ ที่ชี้นิ้วด่าคนอื่นว่าเป็นคนไม่ดีเลย แต่กลับนำพาประเทศไปข้างหน้าไม่ได้

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า การรัฐประหารมันเป็นเพียงการอยากเข้ามาสู่อำนาจและผลประโยชน์เท่านั้น

: บทสรุป

6ปี คสช.ที่ผ่านมาและหลังจากนี้ที่เขาจะอยู่ต่อ เขาอยู่ได้เกือบทศวรรษ เราก็เห็นแล้วว่ามันเป็นทศวรรษที่สูญเปล่า ไม่ต้องวัดผล เราไม่ต้องใช้คำว่า “ถ้า” แล้วยังงั้น อย่างนี้ ผมก็อยากบอกเขาว่า ถ้าไม่มีความสามารถที่จะทำได้ ถึงเวลาแล้วออกได้นะ ออกไปเถอะ ออกแล้วอย่ากลับมาใหม่ ไม่ต้องให้ 250 ส.ว.กลับมาเลือกคุณใหม่นะ

ออกตอนนี้ยอมรับความพ่ายแพ้ ความล้มเหลวของตัวเอง

ออกไป ให้คนที่เขามีศักยภาพมาทำงานแทนก็ได้ ผมคิดว่าประชาชนเห็นตรงกันแล้ว

ก็ไม่อยากใช้คำพูดว่า “ออกไป” แต่มันก็ชัดเจนแล้วว่า ผลงานมันเป็นแบบนั้น

ชมคลิป