เรื่องสั้น | สุนทรีย์มืด (1)

พอเข้ามาในอาคารโรงเรียนกวดวิชา รุ่งขัดเขินไม่น้อยในความต่างวัย ขณะเด็กนักเรียนมัธยมปลายแต่งกายเฉี่ยวกรูกันออกมานอกระเบียงหลังหมดชั่วโมงสอน เสียงคุยเซ็งแซ่ของบรรดาเรือนร่างเปล่งปลั่งสดใส พากันเคลื่อนกายสวนมาจนลานตา ซ้ำลวงให้รู้สึกว่ากำลังขยับไปข้างหน้าทั้งที่ยืนอยู่กับที่ รุ่งอดเต็มตื้นไม่ได้กับภาพและบรรยากาศของโรงเรียนกวดวิชาที่รายล้อม มันสาวดึงเอาหลากความทรงจำผุดขึ้นมากระตุกความรู้สึก โลกที่เขารู้จักดี ทว่าสูญความคุ้นเคยไปนานแล้ว

เขาก้าวไปต่อและพบขจรในห้องเรียนตรงปลายสุดระเบียงซึ่งมีเสียงตะคอกดังออกมา รุ่งกวาดตาดูหมู่นักเรียนในห้องกว้างสว่างจ้ายืนกระจายจับกลุ่มพูดคุยกันเนือยๆ ไม่มีใครแสดงท่าอินังกับเสียงแหวลั่นของขจร อาจารย์สอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์

ขจรเป็นแบบนี้เสมอ บทจะดีก็ร่าเริงแสนใจกว้าง พอเห็นอะไรไม่เข้าตาก็อารมณ์เสียและเกรี้ยวกราดเสียงดัง รุ่งเคยสะเทือนมาแล้วกับความเจ้าอารมณ์ของเพื่อนร่วมคอนโดฯ ผู้นี้ แต่ขจรก็มีเสน่ห์ในแบบของเขา สามารถสง่างามและร้ายกาจได้อย่างเสริมกันโดยไม่มีใครนึกตำหนิตอบโต้ เหมือนดังเช่นเหล่านักเรียนในห้องที่ทำธุระของตนไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ขจรยืนค้ำข้างนักเรียนชายสองคนที่ง่วนจดยิกๆ บนโต๊ะยาวราวจะสลัดคำดุด่านั้นออกไปจากตัวอย่างง่ายดาย อาจารย์หนุ่มสั่นหน้าระอาแล้วผาดสายตาไปยังคนอื่นๆ ที่นั่งเอกเขนกเล่นโทรศัพท์หลังหมดชั่วโมง คำว่า “ไอ้ทึ่ม ไม่ได้เรื่อง” เมื่อสักครู่ไม่ได้แทรกซึมเข้าไปในโสตของใครเลย คงมีแต่รุ่งที่ยืนเอามือลูบสะโพก แสลงใจอย่างอ่อนๆ กับเสียงระเบิดอารมณ์ของเพื่อน

พอเหลือบเห็นเพื่อน ขจรปลดสีหน้าและเปิดยิ้มร่าอย่างกระตือรือร้นเกินพอดี เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ผู้มาเยือนเสียความรู้สึก รุ่งพยักหน้ารับ เคาะนิ้วลงบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือที่ชูขึ้นเพื่อย้ำเวลา

ทั้งสองก้าวลงมาตามบันไดกว้าง ขจรก้มหน้าเช็กข้อความ พวกเขาไม่พูดอะไร จนผ่านประตูกระจกเลื่อนออกมาจากอาคารมาหยุดที่ริมฟุตปาธ ขจรแหงนหน้ามองฟ้าโปร่งยามบ่ายวันอาทิตย์ สูดหายใจอย่างหน่าย

“อย่าหงุดหงิดนักเลย” รุ่งเปรย

ขจรไม่ตอบคำ รู้ว่าไม่จำเป็น รุ่งตีความความรู้สึกเขาได้ถูกต้องเสมอ เข้าใจอารมณ์ที่ครอบงำเขาอยู่ในช่วงเวลานี้ ขจรตกอยู่ในสภาวะแปรปรวน เรื่องบีบคั้นรุมเร้าที่คนรักทอดทิ้ง ปัญหาทางบ้าน และเรื่องงาน เขาคิดเสมอว่าต้นธารทุก ของปัญหาที่เขาประสบคือการที่เขาเรียนแพทย์ไม่จบ แล้วมันก็ส่งทอดถึงกันเรื่อยๆ เป็นลูกโซ่ เขาห้ามใจพยายามไม่รังเกียจชีวิตปัจจุบัน ในเมื่อเขาเลือกวิถีทางตามแบบที่ตนเองต้องการเช่นนี้

“สอนเรื่องอะไรอยู่”

“แคลคูลัสเบื้องต้น” ขจรตอบ “วิชาพื้นฐานตอนปีหนึ่ง นายน่าจะจำได้”

“คืนไปหมดแล้วละ” รุ่งสั่นหัว “ยาขมสำหรับผมจริงๆ เห็นขจรเคี่ยวเข็ญหนักกับพวกนักเรียน ผมจำได้เลยว่ามันหินแค่ไหน”

“พอเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลย” เขาตัดบท รู้ดีว่าเพื่อนผู้นี้รู้สึกไวเสมอ มีแนวโน้มที่จะหาประเด็นได้แม้กับในเรื่องไม่สลักสำคัญอะไร ตอนนี้เขาค่อยยังชั่วขึ้น พอได้ออกมาข้างนอกอารมณ์หงุดหงิดก็ฟุ้งกระจายบางเบา ขจรยิ้มทักกลุ่มนักเรียนวัยรุ่นที่เดินผ่าน หว่านเสน่ห์เล็กๆ น้อยๆ ให้เป็นที่โปรดปรานในหมู่พวกเขา แล้วจิตใจก็กลับมากระปรี้กระเปร่า เขาปรายยิ้มและเหนี่ยวคอหนาเป็นชั้นของรุ่งอย่างแผลงๆ ด้วยนึกครึ้มสนุกขึ้นมาทันใด

“รุ่ง ตกลงนายจะพาเราไปลุยที่ไหน”

ครึ่งชั่วโมงถัดมา สองหนุ่มลงจากแท็กซี่ตรงประตูทางเข้าฝั่งตะวันตกของสวนรถไฟ พวกเขายังพูดคุยต่อเนื่องติดลมจากบทสนทนาในรถ ทั้งสองเข้ากันได้ดีแม้อุปนิสัยและความชอบต่างกัน รู้จักกันมานานนับแต่สมัยร่วมหอพักชายในมหาวิทยาลัย สำหรับขจร รุ่งเป็นเพื่อนคุยที่ทำให้เขาสบายใจ มีอัธยาศัยน่าคบ เขานับถืออีกฝ่ายเพราะความเป็นคนละเอียดอ่อนและรู้ว่ารุ่งชอบเขา เหนือไปกว่านั้น ทั้งคู่มีความพ้องจากรอยแผลอย่างเดียวกันซึ่งช่วยเชื่อมสานพวกเขาไว้ด้วยกันในลักษณะพิเศษ นั่นคือต่างเรียนไม่จบปริญญา ขจรลาออกจากโรงเรียนแพทย์กลางคัน ส่วนรุ่งโดนรีไทร์จากคณะสาธารณสุข หลังต้องเรียนซ้ำเทอมเว้นเทอม แล้วก็ไปจอดสนิทในปีสุดท้าย

ตอนอยู่ในแท็กซี่ขจรย้อนมาคุยเรื่องตัวเอง เอ่ยถึงเกด คนรักที่เพิ่งเลิกรา เขารู้ตัวว่าพูดซ้ำซากจนแทบฟูมฟาย แต่เขาก็อยากประจักษ์ทุกแง่ทุกมุมของมัน กลั่นกรองมโนภาพออกมาตีแผ่ รุ่งจึงเหมือนกลายเป็นที่รองรับความนึกคิดของเขา รุ่งไม่เกี่ยงงอนกับบทบาทนี้ ตั้งหน้ารับฟัง เข้าใจเพื่อนที่รู้สึกติดค้างคาใจ หัวข้อเดิมนี้ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในบทสนทนาขณะทั้งสองเดินขึ้นไปตามถนนอันร่มรื่น แสงแดดสาดลงมาประปราย

“ไม่น่าว่าเกดไปข้องเกี่ยวกับคนห่ามๆ แบบนั้น”

“นายก็รู้ว่าเธอโลเลแค่ไหน เราคิดว่าเกดยังไม่ได้ตัดสินใจแน่ว่าจะเอายังไงกับเรา” ขจรพูดไม่สบตา รู้ว่ากำลังเข้าข้างตัวเอง เขาแค่อยากกู้หน้าเอาไว้บ้าง เขาคีบบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อและพบว่ามวนหักกลางเลยโยนทิ้ง

“หมอนั่นล่ะ”

“แค่ประเดี๋ยวประด๋าว คงไม่นานหรอก” ขจรแสยะปาก สะกดสายตาไปที่ไกลๆ “เกดไม่สนใจหมอนั่นจริงๆ หรอก เธอมีเรื่องอื่น สิ่งอื่นที่น่าสนใจกว่านั้น”

“อะไรหรือ”

ขจรไม่ตอบ คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน เขานึกถึงครั้งสุดท้ายที่โทร.ไปหาเกดแล้วเอ่ยคร่ำครวญอะไรเสียมากมาย ความกระอักกระอ่วนพลันแล่นขึ้นมาขัดลมหายใจ เขากางฝ่ามือทาบหน้าผาก รู้สึกห่อเหี่ยวเหลือรับ

“ฟังนะรุ่ง เราจะไม่เอ่ยถึงเกดอีก จำคำเราไว้นะ”

รุ่งโคลงหัวช้าเชือน ไม่ซักถามอะไรอีก เขาไม่อยากเห็นเพื่อนหัวเสีย ก้มดูแผนที่ในมือถือหาตำแหน่งทิศทางของจุดหมาย

“ทำไมไม่เข้าไป” ขจรชี้นิ้วไปที่สวนซึ่งแน่นพรืดไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม คิ้วที่ขมวดคลายออกจากเมื่อครู่ “ตกลงเราไม่ได้มาเที่ยวสวนกันหรอกหรือ”

“ใจเย็นๆ ตามผมมาเถอะ” รุ่งทำสีหน้ารับรองโดยไม่บอกรายละเอียดเพิ่ม เขาทราบเรื่องสถานที่ลับแห่งนี้จากเพื่อนพ่อค้าขายชุดกีฬาแผงติดกันซึ่งชอบมาวิ่งที่สวนรถไฟเป็นประจำ สาธยายถึงความน่าสนใจของสถานที่เปลี่ยวซึ่งแฝงตัวกลางเมืองอันจอแจ และช่วยปักหยดน้ำตาบอกตำแหน่งในแผนที่กูเกิลให้

รุ่งเดินนำไปตามทางเท้าเลียบคลองใส ผ่านอาคารโรงระบายน้ำโทรมลอกล่อนที่ดูเหมือนถูกทิ้งร้าง สักพักเขาก็หยุดและขยับขึ้นไปบนคันดิน ยืนชะเง้อดูพื้นที่ลาดลงสู่ขอบตลิ่ง ไล่สายตาหาหมุดหมาย ก่อนหันมาพยักหน้าให้ขจร แล้วดั้นด้นฝ่ากอหญ้ารกไต่ลงไปบนทางดินแคบๆ จนถึงขอบตลิ่ง ก้าวไปยืนบนโขดหินหมกโคลนระเกะระกะริมชายน้ำ ขจรสั่นหน้าติเตียนแต่ก็หย่งเท้าตามลงมา พอไต่ลงถึงตลิ่งข้างล่าง เสียงรถราก็จางหายและเงียบลงเฉียบพลัน เขาเดินตามรุ่งไปเรื่อยๆ กลิ่นสดหอมฉุนของพงเขียวและพุ่มไม้ใบหนาจรุงอวล ขจรรู้สึกสบายใจขึ้น มันนำเขาไปสู่ริมขอบของการจดจำบางสิ่งในอดีตอันแสนไกล กลิ่นอายบรรยากาศการผจญภัยในวัยเยาว์ เขาหยุดสูดหายใจและฟังเสียง นกยางยืนข้างเถาไม้สีเข้มที่ตลิ่งฝั่งตรงข้าม กระพือปีกขาวบินเรี่ยผิวน้ำหนีไป

ทางดินเลียบลำน้ำกันดารขึ้นทุกที บางจุดน้ำล้นขึ้นมาท่วมมิดเส้นทางจนต้องอ้อมไต่ลาดตลิ่ง เส้นทางพาพวกเขาผ่านเพิงผุพังข้างประตูระบายน้ำที่เขลอะโคลนตม ท้องน้ำคลุมแน่นไปด้วยเศษใบไม้แห้งลอยกระจุกกันเป็นแพหนา ถัดจากประตูน้ำไปไม่ไกล ทางดินก็สิ้นสุดลงตรงใต้สะพานซึ่งมีท่อซีเมนต์ขนาดใหญ่ผิดธรรมดา แลคล้ายอุโมงค์ทอดลึกเข้าไปในพื้นที่สวน ทั้งสองมาถึงปลายทางอันตัดขาดจากโลกพลุกพล่าน รอบบริเวณเงียบสงบ ร้างคนและเฉอะแฉะ ต้นไม้รายล้อมเขียวสะพรั่ง ท้องน้ำแผ่ออกเป็นเวิ้งและไหลเอื่อยๆ จากท่อระบาย พวกเขามองดูรากไม้ตะปุ่มตะป่ำเหมือนกระดูกนิ้วมือเกาะรัดตลิ่งฝั่งตรงข้าม ผิวน้ำดูคล้ำลงใต้ร่มเงาไม้ บรรยากาศเปลี่ยววังเวงและชุ่มชื้น มันดำรงอยู่อย่างเอกเทศ ทั้งหมดนี้ผสมกลมกลืนเข้ากับอารมณ์งุนงงสงสัยของขจร เหมือนกับว่ามันมีลมหายใจและกำลังรดรินบนตัวเขา

รุ่งมองมาที่เขาและขยับไปใกล้ปากอุโมงค์ท่อซีเมนต์ ชะโงกดูข้างในที่มืดมิด

“พรรคพวกบอกผมว่าอุโมงค์มืดดูน่ากลัวอยู่สักหน่อย แต่ไม่มีอันตรายอะไรหรอก” รุ่งพูด โน้มตัวไปข้างหน้า กวาดมองไปรอบๆ รู้สึกพิกลกับสถานที่แต่ก็ทำใจกล้าในเมื่อตนเป็นฝ่ายชักชวนแต่แรก เขาขยับขึ้นไปบนขอบทางภายในท่อระบาย

“ไม่ผิดแน่ ทางนี้แหละ” เสียงรุ่งสะท้อนก้องภายในอุโมงค์เผยความกลวงเปล่าล้ำลึกของมัน

รุ่งชูโทรศัพท์ ส่องไฟนำทาง เคลื่อนไปทีละก้าวเหนือพื้นปูนแห้งที่ขนานไปกับลำน้ำ เสียงสายน้ำไหลระริกเพิ่มระดับความดังฟังคล้ายจะพลั่งกระฉอกขึ้นมาเปียกเท้า อากาศภายในเย็นลงกว่าข้างนอก เขาไม่วางใจนักและอยากไปให้ถึงทางออกเร็วไว แต่ความมืดถ่วงฝีเท้า ต่างจากขจรที่ตื่นเต้นจนสีหน้าระรื่น

“อุโมงค์ตัดเชื่อมเข้าไปถึงบึงกลางสวนข้างใน” รุ่งลดเสียงลงเกือบกระซิบ ความมืดอันล้อมปิดทำให้ไม่กล้าทำเสียงดังด้วยหวั่นเกรงจะรุกรานวิถีอันสงบของมัน ยิ่งสืบเท้าลึกเข้าไป สายน้ำไหลยิ่งฟังแผ่วค่อย ความสงัดเงียบอย่างใหม่เริ่มครอบงำพร้อมกับแสงมัวๆ ปรากฏขึ้นตรงนั้นตรงนี้เล่นล้อกับความมืด แต่ครั้นเพ่งสายตามันกลับสั่นพร่าและหายวับดั่งจะล่อหลอกให้คอยหลงมองตาม เขาเดินไปต่อกระทั่งพ้นโค้งอุโมงค์ก็เห็นช่องกลมสว่างไสวตรงปลายทาง รุ่งโล่งใจ รีบสาวเท้าโดยไม่รู้ตัวว่าคล้อยหลังจากอีกฝ่ายไปตั้งแต่เมื่อตอนไหน

ขจรตรึงเท้าปักหลักนิ่งอยู่ชั่วขณะ ความมืดโรยตัวปกคลุมเขาจนเกือบมองอะไรไม่เห็น อณูสีดำนี้เย็นตาอย่างประหลาด เขายื่นแขนไขว่คว้า รู้สึกราวกำลังลอยละล่องดุจแมงกะพรุนในทะเลลึก พอมือป่ายสัมผัสกับผิวปูน เขาก็ใช้มันเป็นหลักยึดและหมุนตัวเอนหลังไปพิงผนังอุโมงค์ ค่อยๆ ทิ้งร่างไถลลงนั่งชันเข่า หันมองไปทางสายน้ำไหลเงียบๆ ในความมืด เขานั่งนิ่งตั้งใจซึมซับสภาพรอบกาย พยายามผสานเข้ากับภาวะไร้กาลเวลา ณ สถานที่แห่งนี้ เขาเบิ่งตาแหวกฝ่าม่านทึบเข้มตรงหน้า ผิวน้ำดูวาวขึ้นจากความสลัวราง คล้ายมันจะค่อยๆ เผยตัวต้อนรับเขาอย่างนุ่มนวลและช้าเชือน แล้วความรู้สึกอันไร้รูปทรงในจิตใจก็แจ่มแจ้งขึ้นทีละน้อย ในลักษณาการเดียวกับแสงริบหรี่เกาะบนผิวความมืดจนโครงร่างหนึ่งเรืองรองขึ้นมา

ขจรรู้สึกราวตื่นขึ้นจากหลับลึก เขามองเห็น ได้ยิน และสัมผัส ทุกขุมอายตนะรับรายละเอียดทั้งมวลอย่างบริสุทธิ์หมดจด มันชำระล้างความทรงจำบั่นทอนภายใน และตอนนี้เขาก็ปล่อยตัวเองให้ร่วงหล่นลงไป ดิ่งลึกลงไปขณะที่เปลือกตาของเขาเปิดอยู่ตลอดเวลา เขารอคอยโดยไม่รู้ว่าคืออะไร จนกระทั่งเสียงเรียกของรุ่งปลุกให้รู้สึกตัวทันใด แต่เขาไม่ยอมลุก ยังไม่อยากถูกพรากจากความซึมเซา จนแว่วเสียงดังขึ้น เขาถึงยันตัวกับผนังและขยับอย่างแข็งทื่อไปทางต้นเสียงแว่วจากปลายอุโมงค์

แสงสว่างจ้าจนแสบตา ขจรดูงงๆ ขณะก้าวออกมาสู่ทิวทัศน์เปิด หยีตายิ้มรับสีหน้ากังขาของรุ่งที่นั่งพักเหนื่อยบนขอนไม้ เขาพยายามเก็บอาการจากความรู้สึกแปลกประหลาดที่ยังเกาะติดแน่น รู้ว่าไม่สามารถอธิบายสภาพของตัวเองในตอนนี้ได้เลย

“สวยดีนะ สงบร่มรื่น ขจรคงชอบ”

ขจรมองตามสายตาเพื่อนที่แลกวาดไปรอบบริเวณ อุโมงค์โผล่ออกมาตรงริมขอบของบึงกว้างในเขตสวน พื้นที่เขียวร่มรื่นคล้ายเกาะเล็กจิ๋วอันสันโดษ ดงกกขึ้นโปร่งๆ ตามชายตลิ่ง ริมฝั่งรอบบึงไกลออกไปเรียงรายด้วยต้นหางนกยูงแผ่ร่มเงาออกกว้าง กิ่งก้านแซมดอกดกแดงอร่าม ทิ้งกลีบดอกสีสดร่วงแประตามริมน้ำ ทั้งสองพยักหน้าให้กันอย่างชื่นชมต่อทัศนียภาพใหม่ที่ค้นพบ

สักพักพวกเขาก็ย้ายมานั่งบนโขดแบนเรียบรับลมโชยอ่อน ข้างต้นนนทรีที่สยายกิ่งก้านยื่นโน้มลงไปแทบจุ่มผิวบึง ดูผิวน้ำเรียบนิ่งดุจกระจกสะท้อนเงาฟ้าเต็มผืน รุ่งชำเลืองสีหน้าผ่อนคลายดูลอยๆ ของอีกฝ่าย เขาปลื้มใจและยิ้มออกมาจนเกือบสังเกตเห็น เขาชอบความรู้สึกแบบนี้ที่ต่างรับรู้กันและกันโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร

รุ่งเคลิ้มคิดถึงเรื่องของแฟนเก่าเพื่อน นึกย้อนเวลาเกดมาหาขจรที่ห้องพัก เขามักลอบดูคู่รักทั้งสองอยู่ด้วยกัน คอยดูว่าสองคนนี้มองกันด้วยสายตาแบบไหน เขาแอบสังเกตท่าทางที่คู่รักสื่อสารถึงกัน ลักษณะที่พวกเขาสัมผัสแตะเนื้อต้องตัว คอยชำเลืองจ้องการเคลื่อนไหวของคู่หนุ่ม-สาว เขาปรารถนาเหลือเกินที่จะได้มีโอกาสนั่งเงียบเชียบอยู่ตรงมุมมิดชิดร่วมกับพวกเขาภายในห้องไม่ต่างกับแมวซึมเซื่องตัวหนึ่ง

หวังให้คนทั้งสองลืมว่าเขาอยู่ตรงนั้น เพื่อจะได้เฝ้ามองทุกอิริยาบถ สีหน้าท่าทาง และทุกคำพูดของพวกเขา