ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 พฤษภาคม - 4 มิถุนายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
สุจิตต์ วงษ์เทศ
แม่โพสพมาจากแม่ข้าว
ในศาสนาผีอุษาคเนย์
แม่โพสพคือเทวีข้าวที่ถูกสถาปนาโดยรัฐนาฏกรรมลุ่มน้ำเจ้าพระยา ในพิธีธานย์เทาะห์ หรือเผาข้าว ตามคติเทวราช
ชาวนาดั้งเดิมเริ่มแรกทำนาทางฟ้า หมายถึงพึ่งพาความไม่แน่นอนของน้ำฝนที่หล่นจากฟ้า ดังนั้น รัฐต้องแสดงความมีอำนาจควบคุมและบันดาลความอุดมสมบูรณ์เป็นที่รับรู้ ด้วยการจัดให้มีพิธีกรรมเพื่อความมั่นคงและมั่งคั่งในพืชพันธุ์ว่านยาข้าวปลาอาหาร
ก่อนได้รับสถาปนา แม่โพสพคือแม่ข้าวซึ่งเป็นผีพื้นเมืองเพศหญิง บางทีถูกเรียกว่าแม่ศรี ดังนั้น ต้นตอของแม่โพสพคือแม่ข้าวในศาสนาผี และกว่าจะเป็นแม่โพสพมีพัฒนาการที่ต้องเชื่อมโยงกับสิ่งอื่นหลายอย่าง ดังนี้
1.เลือดมนุษย์หล่อเลี้ยงต้นข้าว
เลือดมนุษย์จากพิธีบูชายัญในนาตาแฮก หล่อเลี้ยงต้นข้าวเจริญเติบโตมีรวงหนาแน่นด้วยเมล็ดข้าว
นาตาแฮก เดือน 6 (ราวพฤษภาคม) คือ นาจำลองเพื่อทำพิธีบูชายัญทางศาสนาผีก่อนลงมือทำนาจริงของชุมชนชาวนาดึกดำบรรพ์หลายพันปีมาแล้ว ที่ยังสืบเนื่องประเพณีตราบจนทุกวันนี้ โดยเฉพาะแถบลุ่มน้ำโขง ส่วนลุ่มน้ำเจ้าพระยาถูกปรับเปลี่ยนเป็นที่รู้ทั่วไปในนาม “แรกนาขวัญ”
[นาตาแฮก ตรงกับ นาตาแรก (แฮก เป็นคำลาว ตรงกับไทยว่า แรก) แรกนาขวัญ คือ แฮกนาขวัญ ความหมายเดียวกับนาตาแฮก]
“บูชายัญ” (เป็นชื่อสมมุติได้จากชื่อสมัยหลัง) หมายถึงพิธีฆ่ามนุษย์ตัวเป็นๆ หรือคนจริงๆ เพื่อเอาเลือดคลุกเคล้าชโลมดินปลูกข้าว โดยเชื่อว่าเลือดมนุษย์ในดินหล่อเลี้ยงต้นข้าวเจริญเติบโตมีเมล็ดข้าวคับคั่งเลี้ยงคนในชุมชนดึกดำบรรพ์หลายพันปีแล้ว และยังทำสืบเนื่องอีกนาน แต่ปรับเปลี่ยนจากฆ่ามนุษย์เป็นฆ่าสัตว์ เช่น วัว ควาย เป็นต้น
พิธีบูชายัญมีหลักฐานโบราณคดีสนับสนุน ได้แก่ (1.) ประติมากรรมบนหน้ากลองสำริด (ปัจจุบันไทยเรียกกลองมโหระทึก) พบที่มณฑลยูนนาน สมัยนั้นไม่เป็นจีนฮั่น แต่เป็นพื้นที่ต่อเนื่องส่วนหนึ่งของอุษาคเนย์โบราณ (2.) ภาพเขียนบนเพิงผาที่ลุ่มน้ำโขง (จ.อุบลราชธานี) และ (3.) จดหมายเหตุจีน พรรณนาว่ามีพิธีบูชายัญมนุษย์ทุกปีที่ลึงคบรรพต บริเวณปราสาทวัดพู (แขวงจำปาสัก ในลาว)
2.แม่ข้าวถูกฆ่าด้วยเคียวเกี่ยวข้าว
แม่ข้าว คือขวัญต้นข้าวที่ถูกฆ่าโดยเคียวเกี่ยวขาดจากต้นข้าวแล้วได้รับยกย่องเป็นเจ้าแม่
เกี่ยวข้าว เดือน 1 หรือเดือนอ้าย (ราวธันวาคม) คือการฆ่าแม่ข้าวด้วยเคียวเกี่ยวต้นข้าวขาด ด้วยความเชื่อว่าเลือดแม่ข้าวจะคลุกเคล้าดินแล้วหล่อเลี้ยงต้นข้าวเติบโตในการปลูกข้าวครั้งต่อไป
ต้นข้าวสุดท้ายที่ถูกเคียวเกี่ยวขาดแล้วเอารวงข้าวไป ทำให้ขวัญข้าวไม่มีที่อยู่ จึงต้องอาศัยสิงสู่ข้าวตก (คือต้นข้าวที่ชาวนามองไม่เห็นหรือมองข้ามไป เกี่ยวไม่หมด จึงไม่ถูกเกี่ยว แล้วตกๆ หล่นๆ เหลือค้างคาท้องนา) ทั้งนี้ เป็นไปตามความเชื่อดั้งเดิมว่าต้นข้าวมีชีวิต (เหมือนคน) ต้นข้าวตาย ส่วนขวัญข้าวไม่ตาย เพียงเคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิตอยู่ต่างมิติซึ่งจับต้องไม่ได้และมองไม่เห็น
ชาวนาเก็บข้าวตกซึ่งมีขวัญข้าวสิงอยู่โดยรวมเป็นพุ่มเป็นมัด แล้วเชิญไว้ในที่พิเศษสำหรับทำพิธีกรรม และเป็นพันธุ์ข้าวปลูกในฤดูทำนาต่อไป
3.ส่งขวัญแม่ข้าวเซ่นผีแถน
ขวัญของแม่ข้าวคือข้าวสุก ถูกส่งขึ้นฟ้าไปเซ่นสังเวยผีแถน
ทำขวัญข้าว เดือน 3 (ราวกุมภาพันธ์) ชาวนาทั้งชุมชนนัดหมายพร้อมกัน “วันฟ้าเปิด” (ลาวเรียกวันกำฟ้า) ร่วมกันส่งขวัญแม่ข้าวขึ้นฟ้า ด้วยการเอาข้าวเปลือกที่เพิ่งได้จากทำนาไปตำซ้อมเป็นข้าวสารชุดแรก แล้วหลามจนสุกในกระบอกไผ่สุมไฟ (เรียกว่า “บายศรี” คือข้าวขวัญ เรียกต่อมาสมัยหลังว่า “ข้าวหลาม”) เป็นเครื่องเซ่นสังเวยผีแถนโดยใส่ภาชนะทำจากใบไม้
ตรงนี้มีร่องรอยความเชื่ออยู่ในคำบอกเล่าเก่าแก่เกี่ยวกับแถนสั่งความไว้ว่า “กินข้าวให้บอกให้หมาย กินแลงกินงายให้บอกแด่แถน—-” (ตำนานขุนบรม, พงศาวดารล้านช้าง)
ก่อนทำขวัญข้าวเซ่นผีแถน ชาวนาไม่กินข้าวใหม่ที่เพิ่งได้มา แต่ต้องรอหลังทำขวัญข้าวจึงเอาข้าวใหม่ไปหุงกินได้
4.เผาข้าวและสถาปนาแม่โพสพ
ขณะชาวนาทำขวัญข้าว ราชสำนักทำพิธีเผาข้าว คือเผาศพแม่ข้าวในเดือน 3 แล้วสถาปนาแม่ข้าวเป็นแม่โพสพ ซึ่งเป็นไปตามความเชื่อในลัทธิเทวราชของภูมิภาคอุษาคเนย์ (อันเกิดจากการประสมประสานของความเชื่อเดิมเรื่อง “ขวัญ” ในศาสนาผีของอุษาคเนย์กับความเชื่อใหม่เรื่อง “วิญญาณ” ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจากอินเดีย ราวหลัง พ.ศ.1000) ดังนี้
- เผาศพแม่ข้าว ราชสำนักโบราณก่อนสมัยอยุธยา (หลังรับประเพณีเผาศพจากอินเดียตามคติทางศาสนาพุทธ และศาสนาพราหมณ์-ฮินดู) มีพระราชพิธีธานย์เทาะห์ เผาข้าว หมายถึงเผาศพแม่ข้าวที่ถูกทำให้ตายจากการเกี่ยวข้าว โดยทำพิธีจุดไฟเผารวงข้าวที่มีเมล็ดข้าวเปลือกเต็มรวงติดอยู่ด้วย (เหตุนี้เองนักโบราณคดีจึงขุดพบซากเมล็ดข้าวสารถูกไฟเผาอยู่เมืองโบราณหลายแห่ง ซึ่งเรียกกันทุกวันนี้ว่า “ข้าวสารดำ”)
- สถาปนาแม่โพสพ การเผาศพแม่ข้าว เท่ากับสถาปนาแม่ข้าวขึ้นเป็นแม่โพสพ เพราะพลังของแม่ข้าวถูกเชิญขึ้นฟ้าแล้วรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระไพศพ (ตามคติพราหมณ์เรียกเป็นภาษาสันสกฤตว่า “ไพศฺรพณะ”) ผู้เป็นเทวะแห่งความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ และผู้พิทักษ์ทรัพย์ในดินสินในน้ำ เป็นใหญ่ดูแลรักษาทิศเหนือ (รู้จักทั่วไปในนาม ท้าวกุเวร, ท้าวเวสสุวรรณ) แต่คนพื้นเมืองยกย่องเรียกเป็นเพศหญิงตามความเชื่อดั้งเดิมของตนว่า “แม่โพสพ”
เผาข้าวและสถาปนาแม่โพสพ พบหลักฐานในเอกสารหลายเล่ม แต่เล่มสำคัญคือ ทวาทศมาสโคลงดั้น (วรรณกรรมสมัยอยุธยาตอนต้น) พรรณนาพระราชพิธีว่าแห่พนมรวงข้าวไปลานเผาข้าว (หลังเสร็จทําขวัญข้าว) เพื่อทําพิธีเผาข้าว เรียกในทวาทศมาสว่า “ส่งไพศพ” หมายถึงส่งพระไพศพราชขึ้นฟ้าด้วยการเผาศพ
ตําราพระราชพิธีเก่าและตําราทวาทศพิธีจดไว้ว่าขุนนางผู้ใหญ่เชื้อสายพราหมณ์แห่พนมรวงข้าว (สมมุติเป็นฉัตร) มีประธาน 1 พนม และบริวาร 8 พนม เมื่อพร้อมแล้วให้ตระกูลพราหมณ์เป็นใหญ่จุดไฟเผาฉัตรรวงข้าวประธานขึ้นก่อน แล้วตามด้วยเผาฉัตรรวงข้าวบริวารทั้ง 8
ทวาทศมาสโคลงดั้น (บท 204 และ 211) พรรณนาพิธีเผาข้าวว่าขบวนแห่พนมรวงข้าวมีหมู่ฟ้อนร่อนรําเต็มแถวทาง ครั้นเสร็จพิธีเผาข้าวก็เท่ากับส่งพระไพศพขึ้นฟ้า แต่ไฟเผายังคุกรุ่นส่งแสงร้อนรุ่มผลาญไม้ใบข้างเคียง ดังนี้
“รัถยาบ่าวสาวพวง พาลแพละ กันนา
ตามส่งไพศพคล้อย คลาศคลา”
“เสร็จส่งไพศพสิ้น สารสุด
เพลิงฉี่ใบบัวบง เหี่ยวแห้ง”
ปัจจุบัน แม่โพสพอยู่ในความเชื่อและความทรงจำสืบเนื่องมา ส่วนแม่ข้าวถูกลืมจนไม่มีใครรู้จักอีกแล้ว
นอกจากนั้น บายศรีคือข้าวขวัญของแม่ข้าวที่ถูกทำให้สุกเพื่อเซ่นสังเวยผีแถนผีฟ้าโดยใส่ภาชนะทำจากใบไม้ ก็ถูกให้ความสำคัญแก่ภาชนะโดยทำจากใบตองซ้อนชั้นทรงสูงขึ้น ในที่สุดก็ลืมเรื่องข้าวขวัญของแม่ข้าว
พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่