รายงานพิเศษ / เหลียวหลังแลหน้า ‘ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์’ เมื่อระบอบทักษิณล่ม ขั้วบ้านสี่เสาฯ โรยรา ‘3 ป.’ เฟื่องฟู 3 จอมพลผงาด เล็งกุมอำนาจ 3 ทศวรรษ

รายงานพิเศษ

 

เหลียวหลังแลหน้า

‘ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์’

เมื่อระบอบทักษิณล่ม

ขั้วบ้านสี่เสาฯ โรยรา

‘3 ป.’ เฟื่องฟู 3 จอมพลผงาด

เล็งกุมอำนาจ 3 ทศวรรษ

 

หลังบริหารจัดการแก้วิกฤตโควิดได้เป็นอย่างดี จนทำให้คะแนนนิยมดีขึ้น

แถมมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นตัวช่วยในการแก้ปัญหา พร้อมๆ กับสยบความเคลื่อนไหวทางการเมืองไปได้อีกระยะหนึ่ง

จนมีการมองว่า บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังไปต่อได้อีกสบายๆ ในเวลาอีกกว่า 3 ปี ในรัฐบาลจากการเลือกตั้งสมัยแรก

เหลือแค่ต้องบริหารจัดการเก้าอี้ ตำแหน่ง อำนาจในรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล และปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐเองให้ได้เท่านั้น

พล.อ.ประยุทธ์ก็จะรักษาสถานภาพการเป็นขั้วอำนาจใหม่ ที่ขึ้นมาคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ทดแทนขั้วอำนาจบ้านสี่เสาเทเวศร์อย่างเต็มตัว

หลังขั้วอำนาจบ้านสี่เสาเทเวศร์โรยราไปเมื่อป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ถึงแก่อสัญกรรมไปเมื่อ 26 พฤษภาคม 2562

แม้จะมีบิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นทายาท ทั้งในฐานะหัวขบวนของบ้านสี่เสาฯ และประธานองคมนตรี ที่มีบรรดาองคมนตรีทั้งพลเรือน และโดยเฉพาะองคมนตรีสายทหารคนสำคัญก็ตาม

แต่ก็ไม่ได้ลงมามีบทบาททางการเมืองโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ถือเป็นขั้วอำนาจที่ขั้วอำนาจ 3 ป.ก็ต้องเอาหลังอิงไว้

 

ขั้วอำนาจ 3 ป. บูรพาพยัคฆ์ ของ 3 พี่น้อง “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” กำลังสร้างประวัติศาสตร์ในการครองอำนาจที่อาจจะยาวนานที่สุด ทั้งเส้นทางที่เดินมาแล้ว และบนถนนสายอำนาจที่จะเดินต่อไปอีกไม่รู้จะยาวนานแค่ไหน

ทั้งอำนาจในกองทัพ จนมาถึงการครองอำนาจรัฐ

ไม่ใช่แค่ 6 ปีเมื่อครบรอบการรัฐประหารของ คสช. 22 พฤษภาคม 2563 เท่านั้น แต่คุมอำนาจมายาวนานกว่านั้น

ก่อนที่ระบอบทักษิณถูกโค่นล้มหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เสียอีก

ทั้งนี้ เคยมีคนพยายามเปรียบเทียบว่า 3 ป. เป็นเสมือนยุค 3 จอมพล “สฤษดิ์-ถนอม-ประภาส” ในแง่ของการเป็น 3 บิ๊กทหาร

แต่ความจริงแล้วแตกต่าง

แม้จะเป็น 3 จอมพล เพราะล้วนเคยเป็น ผบ.ทบ. ที่เป็นพลเอก อัตราจอมพลเช่นกัน

และถึงแม้จะมีการเปรียบเทียบว่าบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น “สฤษดิ์น้อย” ในแง่ของการเป็นนายทหารที่มีความเด็ดขาด เอาจริง แถมทั้งยังมีมาตรา 44 ในมือเมื่อครั้งเป็นหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีหลังรัฐประหารของ คสช. เสมือนมาตรา 17 ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

แต่จอมพลสฤษดิ์ และจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร ไม่ได้เป็นพี่น้องที่ผูกพันใกล้ชิดกันอย่าง “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” ไม่มีการหักกันเอง ขัดแย้ง แย่งอำนาจกันเอง

เพราะพวกเขารับราชการในหน่วยทหารเสือราชินี ร.21 รอ. มาด้วยกันตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ

โดยมีบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นพี่ใหญ่ มาตั้งแต่ยังเป็นร้อยเอก

ที่ทั้งบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ และนายทหารเสือราชินีอีกหลายคนที่ไปขลุกกินนอนอยู่บ้านพักของ พล.อ.ประวิตร

จนเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่แนบแน่น เหนียวแน่น และยาวนานของ 3 พี่น้อง ที่กลายมาเป็น 3 ป.ที่กุมอำนาจประเทศไทยมาจนทุกวันนี้

 

แต่ทว่า พี่น้อง 3 ป.นี้มามีอำนาจรุ่งเรืองเฟื่องฟูได้ก็เพราะนายทักษิณ ชินวัตร

ตั้งแต่นายทักษิณ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ตัดสินใจเด้งบิ๊กตุ้ย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ญาติผู้พี่ จาก ผบ.ทบ. ที่นั่งมาแค่ปีเดียว ข้ามฟากไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ที่มีอำนาจน้อยลง ไม่ได้คุมกำลังรบ เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.ประวิตร ผช.ผบ.ทบ.ในเวลานั้น ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.ในปีสุดท้ายก่อนเกษียณ

ทั้งๆ ที่ตอนนั้น พล.อ.ประวิตรหมดโอกาสที่จะเป็น ผบ.ทบ.แล้ว เพราะเกษียณพร้อม พล.อ.ชัยสิทธิ์

แต่ปาฏิหาริย์ทางการเมืองก็เกิดขึ้น ราวกับชะตาฟ้าลิขิตไว้แล้ว

หลังจากที่มาดามบ้านจันทร์ส่องหล้าในเวลานั้น เห็นว่า พล.อ.ประวิตรที่ยังโสดอยู่ มีแนวโน้มที่จะสละโสดกับคนใกล้ชิด แถมทั้ง พล.อ.ชัยสิทธิ์เองก็ไม่ค่อยฟังนายทักษิณเท่าใดนัก ไม่นับรวมปัญหาระหว่างหลังบ้านชินวัตรด้วยกันเอง

ในเวลานั้น ความสัมพันธ์ของ พล.อ.ประวิตรที่โตมาจาก พล.ร.2 รอ. พื้นที่ปราจีนบุรี สระแก้ว กับป๋าเหนาะ นายเสนาะ เทียนทอง ถูกจับตามองว่ามีส่วนทำให้นายทักษิณตั้ง พล.อ.ประวิตรเป็น ผบ.ทบ.

ที่ต่อมานายทักษิณเอามาแฉ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ คสช.ว่า “เกาะโต๊ะขอตำแหน่ง”

นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ ป.ป้อม พี่ใหญ่ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. เมื่อ 1 ตุลาคม 2547

ความสัมพันธ์อันดีของ พล.อ.ประวิตรกับนายทักษิณ และการที่ พล.อ.อนุพงษ์เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 10 ของนายทักษิณด้วย จึงทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ขยับจาก ผบ.พล.ร.2 รอ. มาเป็น ผบ.พล.1 รอ. และเข้าไลน์รองแม่ทัพภาคที่ 1 และเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพภาคที่ 1 คุมกำลังสำคัญ

แล้วให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. และขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 เติบโตตามไล่หลัง พล.อ.อนุพงษ์เลยทีเดียว

จนที่สุด นายทักษิณถูกรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่มี พล.อ.อนุพงษ์ เพื่อน ตท.10 ที่ตั้งมากับมือ เป็นกำลังหลักในการรัฐประหาร

จนที่สุด พล.อ.อนุพงษ์ ก็ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. และเป็น ผบ.ทบ.ในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ก็ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และเข้าไลน์เป็น เสธ.ทบ. และรอง ผบ.ทบ. และขึ้นเป็น ผบ.ทบ.

 

แม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลมาเป็นพรรคเพื่อไทยที่ชนะเลือกตั้ง และมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ในระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็น ผบ.ทบ.

แต่นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์น้องสาวก็เลือกที่จะไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไข จึงไม่ได้โยกย้ายเปลี่ยนตัว ผบ.ทบ.

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า รัฐบาลของนายกฯ หญิงจะจบลงแบบพี่ชายที่ถูกทหารรัฐประหารหรือไม่

แม้ว่ายิ่งลักษณ์จะใช้กุศโลบายในการสร้างมิตรกับกองทัพ โดยยึดคติที่ว่า “จะไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไข”

หมายถึงว่า จะไม่แก้แค้นกับกองทัพที่ก่อการรัฐประหารพี่ชายจนต้องไม่มีแผ่นดินอยู่ ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ

แต่เป้าหมายของนายกฯหญิง ก็คือการพาพี่ชายกลับบ้าน

แต่เบื้องต้นจะต้องสร้างมิตรกับฝ่ายทหาร และฝ่ายที่ถูกเรียกว่าอำมาตย์เสียก่อน

น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงทำดีกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ เอาใจทางฝ่ายทหาร ไม่ว่าจะขออะไรก็จะอนุมัติให้ทุกอย่าง

และไม่มีการโยกย้ายล้างบางหรือเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการเหล่าทัพ แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ.ในเวลานั้น

ทั้งๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการปราบปรามคนเสื้อแดงในปี 2552-2553 คนเสื้อแดงและ นปช.ที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย

ถึงขั้นที่นายทักษิณไฟเขียวดันให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่นอกจากจะเป็นนายกฯ หญิงคนแรกของไทย แล้วยังให้ขึ้นเป็น รมว.กลาโหมหญิงคนแรกของประเทศไทยด้วย

ที่ยิ่งทำให้ นส.ยิ่งลักษณ์มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพมากขึ้น โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ.ในเวลานั้น จนถูกจับเป็นคู่จิ้น

เพราะมักจะปรากฏภาพ พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่หรือร่วมภารกิจต่างๆ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์เสมอๆ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตน้ำท่วมใหญ่

น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้นำกองทัพ เสียงเพลง “ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักเธอ” ของดา เอ็นโดรฟิน ที่ชื่อเพลงพ้องกับชื่อยิ่งลักษณ์

และเพลงสาวเชียงใหม่ เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นคนเชียงใหม่ ดังขึ้นในทุกเหล่าทัพเสมอเมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปเยี่ยมแต่ละเหล่าทัพ

ความสัมพันธ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์และผู้นำกองทัพชื่นมื่น โดยเฉพาะกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ถูกมองว่าเป็นเสมือนที่ปรึกษาส่วนตัวของยิ่งลักษณ์เลยทีเดียว

 

แต่ทว่าก็ยังถูกมองว่าเป็นการแสดงละครของทั้งสองฝ่าย

น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องการพานายทักษิณพี่ชายกลับประเทศ แต่รู้ว่าจะต้องให้ฝ่ายอำมาตย์และฝ่ายทหารยินยอม จึงต้องทำดีกับกองทัพ

ส่วนฝ่ายทหารก็ต้องทำให้นายกฯ หญิงตายใจ ไม่แตะต้องกองทัพ ไม่โยกย้ายล้างบาง แต่ตรงกันข้ามยอมทำตามที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพเสนอมาทั้งหมด แม้แต่การจัดวางตำแหน่งที่เตรียมไว้รัฐประหารก็ตาม

โดยเฉพาะตำแหน่งของบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกในเวลานี้ ซึ่งในตอนนั้นเป็นพลตรี พล.อ.ประยุทธ์ขออนุญาตจากยิ่งลักษณ์ในการตั้ง พล.อ.อภิรัชต์มาเป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) ซึ่งถือเป็นหน่วยคุมกำลังปฏิวัติ

ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ยอม แม้ว่าในเวลานั้น พล.อ.อภิรัชต์จะถือว่าเป็นนายทหารที่มีชื่ออยู่ในแบล็กลิสต์ความเกลียดชังของคนเสื้อแดง ที่เป็นฐานเสียงใหญ่ของพรรคเพื่อไทยก็ตาม

โดยหารู้ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้เตรียมแผนการรัฐประหารไว้แล้ว และสบจังหวะที่เป้าหมายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ต้องการพาพี่ชายกลับบ้าน

จนมีการนำเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ถูกมองว่าต้องการล้างโทษให้นายทักษิณ

จนเกิดการชุมนุมต่อต้าน ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเป็นแกนนำในนามกลุ่ม กปปส.

ที่ถูกจับตามองว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์มาตั้งแต่วิกฤตคนเสื้อแดงปี 2552-2553

และถูกมองว่าม็อบ กปปส.นี้เป็นการปูทางสู่การรัฐประหาร

ด้วยเพราะถูกจับตามองว่า ทหารจ้องที่จะปฏิวัติล้มล้าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาวทักษิณ อดีตนายกฯ พี่ก็ถูกทหารรัฐประหารอยู่แล้ว

จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่รีบร้อนที่จะก่อการยึดอำนาจ แต่ปล่อยให้ทุกอย่างสุกงอมเสียก่อน

ที่ก็เป็นไปอย่างง่ายดาย เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไว้ใจ พล.อ.ประยุทธ์มากเกินไป

แม้แต่ตอนที่ พล.อ.ประยุทธ์เตรียมจัดการสวนสนามยานยนต์เนื่องในวันกองทัพบก หรือวันกองทัพไทย 18 มกราคม 2557

ระดมรถถัง รถเกราะ และกำลังพลเข้ามาไว้ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) บางเขน แต่เมื่อเสร็จพิธีสวนสนามแล้ว ไม่ได้สั่งให้ถอนกำลังกลับ

ใช้ ร.1 รอ.เป็นกองบัญชาการรัฐประหาร ออกแถลงการณ์ชี้แจงเหตุผลในการยึดอำนาจและถือกำเนิด คสช.ขึ้นมา

เป็นการรัฐประหารที่ไม่ต้องมีการนำกำลังรถถังมายึดอำนาจ แต่ได้มีการวางกำลังทหาร พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ รถเกราะไว้ล่วงหน้าแบบข้ามปีแล้ว

ทั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเอง และยื้อเวลาการเลือกตั้ง ไม่จัดการเลือกตั้งใน 1 ปีหรือ 2 ปี แต่ยื้อมาได้ถึง 5 ปี โดยมีมาตรา 44 ในมือ กว่าที่จะมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ คสช.

แล้วก็ตั้งพรรคพลังประชารัฐในการสืบทอดอำนาจ สู้ศึกเลือกตั้ง โดยใช้กลยุทธ์ในการดูดอดีต ส.ส.เข้าพรรคและชนะการเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญฉบับของ คสช. จนมาเป็นรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรีในที่สุด

และยังคงเป็นนายทหารที่มีอำนาจมากที่สุดในเวลานี้ ในนามแผงอำนาจ 3 ป.

 

3 ป.บูรพาพยัคฆ์ ไม่ใช่เป็นคำที่สื่อเรียกขานขั้วอำนาจที่มี “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” เป็นแกนหลักเท่านั้น

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังเรียกตัวเองและ 2 พี่ชายว่า “3 ป.”

ในระหว่างที่จัดงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นการเลิกเหนียม เปิดตัวในทางการเมืองแบบเต็มตัว หลังตั้งพรรคพลังประชารัฐ และเป็นรัฐบาล

เป็นครั้งแรกที่ “ป.ประยุทธ์” เรียกตัวเองและ “ป.ป้อม-ป.ป๊อก” ว่า “3 ป.”

เพราะที่ผ่านมา เมื่อสื่อเขียนถึง “3 ป.บูรพาพยัคฆ์” พล.อ.ประยุทธ์ก็ตำหนิมาเสมอ

โดยเฉพาะการเรียกว่าบูรพาพยัคฆ์ และวงศ์เทวัญ ที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าเป็นการแบ่งแยกทหารเป็นกลุ่มๆ ทำให้ขัดแย้ง แตกแยก

ทั้งๆ ที่ทหารที่โตจาก พล.ร.2 รอ. ก็ล้วนแต่เรียกตัวเองว่าบูรพาพยัคฆ์ ตามที่สื่อเรียกเช่นกัน

แต่ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ก็เรียกตัวเอง 3 พี่น้อง ว่า 3 ป.

“นี่ไง 3 ป. มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ไม่มี 3 ป.เราจะทำอะไรได้ 2 คนนี้คือลูกพี่ฉัน สอนฉันให้เป็นคนดี สอนฉันให้ทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมือง จะทำหน้าที่เพื่อบ้านเมือง ถ้าไม่มีพี่ทั้ง 2 คน พี่ป๊อกและพี่ป้อม ฉันก็มีวันนี้ไม่ได้ ทุกอย่างไม่มีเพื่อตัวฉัน แต่เพื่อประเทศไทย เข้าใจรึยัง…” พร้อมยอมรับว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้”

จึงเรียกได้ว่า ขั้วอำนาจ 3 ป. ถือกำเนิดมาจากระบอบทักษิณ ที่ใช้ระบบอุปถัมภ์ เพื่อนและเครือญาติ จนทำให้ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์ มีวันนี้

การรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวของพี่น้อง 3 ป. ในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในยุค 5 ปี คสช. ทำให้ขั้วอำนาจนี้หยั่งรากลึกทุกหัวระแหงในกองทัพ

หรือแม้แต้ในมหาดไทยและท้องถิ่น ที่มี พล.อ.อนุพงษ์เป็น รมว.มหาดไทยมา 5 ปี และนั่งต่ออีกในยุครัฐบาลจากเลือกตั้ง

ในส่วนกองทัพ มี พล.อ.ประวิตรที่มีบารมีมายาวนาน ก็คุมเบ็ดเสร็จใน 5 ปีที่เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม

แม้จนตอนนี้ ที่แม้จะไม่ได้เป็น รมว.กลาโหมแล้ว แต่ พล.อ.ประวิตรก็ยังมีบารมีในกองทัพ ยังคงเป็นพี่ป้อมของน้องๆ

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่อาจมีวันนี้ได้เลย ถ้าไม่มี พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ เป็นลมใต้ปีก

 

แม้จะเป็นปีแรกของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่นับ 1 ให้ แต่ทว่านับเป็น 6 เพราะย้อนไปจุดเริ่มต้นที่การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 จุดกำเนิด คสช.

และมองกันต่อไปว่า ขั้วอำนาจ 3 ป.นี้ จะยื้ออำนาจอยู่ไปให้ได้นานที่สุด อย่างน้อยก็ตามยุทธศาสตร์ 20 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ที่หวังให้นักการเมืองรุ่นเก่าๆ ล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา

ด้วยวัย 65 และสุขภาพที่ยังแข็งแรง พล.อ.ประยุทธ์สามารถเป็นนายกฯ ไปได้อีก 2 สมัย หรืออย่างน้อยอีก 8 ปี ไม่นับรวม 5 ปีในยุค คสช.

และต้องเตรียมหาทายาทที่จะมารับไม้ต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่คาดกันว่าจะเป็น พล.อ.อภิรัชต์ ผบ.ทบ. ที่กำลังจะเกษียณ และมีหน้าที่สำคัญรองรับ ในระหว่างที่ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 2 ปี เมื่อพ้นจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภา

ด้วยสถานภาพพิเศษของ พล.อ.อภิรัชต์ และความใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่แม้มีความห่างเหินกันบ้าง แต่ในทางส่วนตัวยังมีการพูดคุยตลอด ทั้งแบบส่วนตัวและหารือพร้อมกับ ผบ.เหล่าทัพคนอื่นๆ

แต่หากย้อนไปที่จุดกำเนิด 3 ป.ที่แท้จริงแล้ว เริ่มตั้งแต่ พล.อ.ประวิตรเป็น ผบ.ทบ.ในปี 2547 และมาเป็น รมว.กลาโหมในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ผลักดัน พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ให้คุมอำนาจกองทัพ และนำมาซึ่งการรัฐประหารในที่สุด รวมเวลา 16 ปีเลยทีเดียว

อำนาจของ 3 ป.จึงกระจายไปทุกส่วนของอำนาจ ทั้งกองทัพ ตำรวจ และมหาดไทย แบบเบ็ดเสร็จ

จึงยากที่จะสั่นคลอน ล้มล้างได้ง่ายๆ ตราบใดที่ 3 ป.พี่น้องไม่ขัดแย้ง แย่งอำนาจกันเอง ขั้วอำนาจนี้ก็จะยังแข็งโป๊ก

โดยที่ต้องแชร์แบ่งปันอำนาจ และไม่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับขั้วอำนาจเก่า บ้านสี่เสาฯ และยังต้องอิงสถาบันหลักของชาติต่อไป

กุมอำนาจอยู่ในยุคทอง และถูกท้าทายอำนาจมาในช่วง 16 ปีแล้ว กับเป้าหมายข้างหน้าอีก 20 ปี ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม

        พี่น้อง 3 ป.จะไปได้อีกกี่ปี รอดู!!