มุกดา สุวรรณชาติ : การชิงอำนาจ และการรักษาอำนาจ ความจริงจาก… รัฐประหาร 2549-ความตาย พ.ค.2553

มุกดา สุวรรณชาติ

ครบรอบ 10 ปี
ของการเรียกร้องประชาธิปไตย
จบด้วยการนองเลือด เมษา-พฤษภา 2553

คนหนุ่มสาวที่เพิ่งจะมีสิทธิ์เลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 บอกว่า จำเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ได้บ้างเล็กน้อยเพราะตอนนั้นยังเด็ก เคยได้ยินชื่อนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เคยรู้ว่ามีม็อบเสื้อเหลือง ม็อบเสื้อแดง มาจดจำได้ก็ตอนที่มีม็อบ กปปส.ปิดกรุงเทพฯ

แม้มีความพยายามจะทำให้ผู้คนลืมเหตุการณ์ปี 2553 แต่ยุคนี้ทำไม่ได้แล้ว วันนี้เพียงใช้นิ้วจิ้ม เหตุการณ์ในอดีตทั้งภาพและเสียงจะปรากฏให้เห็น

ไม่มีใครสามารถโกหกคนทั้งโลกได้

ถ้าจะทบทวนความจำ ต้องเริ่มตั้งแต่การรัฐประหารรัฐบาลนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ปี 2549 ยุบพรรคไทยรักไทย ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคไม่ให้ลงสมัคร ส.ส. 111 คน

แต่เมื่อเปลี่ยนชื่อเป็นพลังประชาชนก็ยังชนะเลือกตั้ง ได้เป็นรัฐบาลอีกในปลายปี 2550 จึงมีการยึดอำนาจซ้ำโดยใช้ม็อบพันธมิตรเสื้อเหลืองยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ตามด้วยตุลาการภิวัฒน์ ปลดนายกฯ สมัคร สุนทรเวช และนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ กลุ่มอำนาจเก่าฟอร์มรัฐบาลใหม่ในค่ายทหารตั้งแต่ปลายปี 2551 เปลี่ยนขั้วให้ประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ครองอำนาจรัฐในปี 2552

คนที่เคยเลือกไทยรักไทยและพลังประชาชนก็เริ่มประท้วง เพราะถือว่าถูกปล้นอำนาจไปกลางวันแสกๆ แต่ไม่มีผล

ปี 2553 พวกเสื้อแดงก็เคลื่อนไหวครั้งใหญ่เพื่อทวงอำนาจอธิปไตยคืนโดยเสนอให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่

แต่กลุ่มอำนาจเก่าไม่มีทางยอมให้นายกฯ อภิสิทธิ์ยุบสภาเพราะเพิ่งได้อำนาจเพียงปีเดียว ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่คงแพ้แน่ กว่าจะได้อำนาจรัฐ ต้องใช้การลงทุนไปมากมาย ใช้กำลังคนหลายกลุ่ม หลายองค์กร

กลุ่มอำนาจเก่าจึงตัดสินใจพิทักษ์อำนาจรัฐไว้ทุกวิถีทาง ไม่สนใจชีวิตผู้คน

 

การชุมนุมช่วงแรก…
จบด้วยความตาย 10 เมษายน 2553

การชุมนุมเริ่ม 12-13 มีนาคม 2553 นปช.เสื้อแดงจัดการชุมนุมย่อยในหลายพื้นที่ ได้แก่ ศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ, วงเวียนหลักสี่, แยกดินแดง, สวนลุมพินี, วงเวียนใหญ่, แยกบางนา จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมทยอยเดินทางมาที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนิน เพื่อร่วมชุมนุมใหญ่ โดยมาเป็นขบวนรถมากมาย เรียกร้องให้ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน เลือกตั้งใหม่

15 มีนาคม นายกรัฐมนตรีได้แถลงข่าวว่า ผู้แทนพรรคร่วมรัฐบาลมาหารือซึ่งเห็นร่วมกันว่าไม่ควรมีการยุบสภา

7 เมษายน นายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

10 เมษายน 2553 ผู้ชุมนุมราชดำเนินปะทะกับทหาร

ตอนบ่ายเกิดการปะทะใกล้ทำเนียบรัฐบาลและกองทัพภาคที่ 1 โดยเจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้น้ำฉีดผู้ชุมนุมที่ปิดล้อมแยกดังกล่าว มีการยิงแก๊สน้ำตาและยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุม ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงบางคนได้รับบาดเจ็บ ถอยร่น ทหารรุกไล่เดินหน้าเข้าสู่ถนนราชดำเนิน

ทหารตรึงกำลังตามสี่แยกต่างๆ ตั้งแต่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 แยกมิสกวัน และสะพานมัฆวานรังสรรค์ ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมต่างถอยร่นไปรวมตัวที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ และพยายามใช้รถขวางทางเพื่อสกัดทหารตามแยกต่างๆ

ตอนเย็น มีเฮลิคอปเตอร์บินวนและทิ้งแก๊สน้ำตาลงมาเพื่อสลายการชุมนุม

ตอนค่ำมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่องระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และกลุ่มคนไม่ทราบฝ่าย ที่ถนนดินสอ ช่วงวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และถนนตะนาว ช่วงแยกคอกวัว ถึงถนนข้าวสาร มีทั้งเสียงปืน เสียงระเบิด เสียงเพลงปลุกใจ และเสียงจากลำโพงขนาดใหญ่ของทหาร

ความตายและความมืดทำให้ทั้งสองฝ่ายยุติการปะทะ

แต่บนพื้นมีเลือด และผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ทั้งสองฝ่าย แต่ประชาชนตายมากกว่า

สงครามหนึ่งวันสิ้นสุดลงในเวลา 12 ชั่วโมง การปราบเริ่มจากหนักธรรมดาในตอนบ่ายวันที่ 10 เมษายน มีทั้งกระสุนยาง แก๊สน้ำตา และกระบอง ไปจนถึงหนักมากในช่วงค่ำ คือ กระสุนจริง รถหุ้มเกราะ และสไนเปอร์ ผลการปะทะก็คือมีซากรถหุ้มเกราะและยานยนต์ทหารถูกเผาทำลายอยู่หลายคันโดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 27 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 1,427 ราย ทั้งทหารและประชาชน

 

ช่วงที่สองการชุมนุมราชประสงค์
(13 เมษา-13 พฤษภา)

หลังการชุมนุมที่ถนนราชดำเนินยุติลง ผู้ชุมนุมทั้งหมดย้ายมาชุมนุมที่ราชประสงค์เพียงจุดเดียวในวันที่ 14 เมษายน 2553 (ที่นี่มีการชุมนุมเป็นจุดรองมานาน 11 วันแล้ว)

การชุมนุมที่ราชประสงค์ในช่วงเย็น จะมีผู้เข้าร่วมประชุมเป็นหมื่นคน แม้คนจากต่างจังหวัดจะทยอยกลับไปแล้ว

แต่ผู้ชุมนุมจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลมาเข้าร่วมหลังเลิกงาน ยิ่งคืนวันศุกร์ วันเสาร์ ก็จะมีคนมากเป็นพิเศษ แต่บรรยากาศโดยรอบอาจจะไม่สันติ 100% มีการยิงกันประปราย เช่น แถวแยกศาลาแดง การรักษาความปลอดภัยก็เริ่มเข้มงวด แต่ถือว่าค่อนข้างปลอดภัยได้นานเกือบ 30 วัน

บรรยากาศเริ่มเหมือนค่ายบางระจัน มีการใช้ยางรถยนต์ตั้งเป็นกำแพงสูง พร้อมปักหลาวไม้ไผ่ ฝ่ายผู้กุมอำนาจก็เริ่มใช้กำลังทหารเข้าปิดล้อมเพื่อบีบบังคับให้ยุติการชุมนุม

ระหว่างนั้นก็ยังมีการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำของผู้ชุมนุมเป็นช่วงๆ แต่ความเห็นในแกนนำแยกเป็นสองทาง ส่วนหนึ่งคิดว่าควรยุติ ส่วนหนึ่งยืนยันให้ชุมนุมต่อ

รัฐบาลอ่านเกมแล้วว่าพวกเสื้อแดงไม่เลิกง่ายๆ แน่จึงตัดสินใจ “กระชับพื้นที่” โดยใช้กำลังทหารจำนวนมากเข้าปฏิบัติการ คาดว่าเป็นการใช้กำลังทหารปฏิบัติการมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

13 พฤษภาคม เริ่มมีลักษณะเป็นสงครามย่อย เพราะรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 17 จังหวัด รวมทั้งเพิ่มมาตรการเพื่อปิดล้อมกดดันผู้ชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ โดยใช้กำลังทหารจำนวนมาก

มีการตั้งด่านตรวจตราเส้นทางเข้า-ออกบนถนนแทบทุกสาย พร้อมประกาศตัดน้ำตัดไฟและตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

เวลาประมาณ 1 ทุ่ม เสธ.แดงซึ่งถือว่าเป็นผู้นำในสายกำลังของผู้ชุมนุมถูกลอบยิงด้วยสไนเปอร์บริเวณหน้าสวนลุมฯ ติดกับโรงพยาบาลจุฬาฯ กระสุนเจาะเข้าสมอง แม้ไม่เสียชีวิตในทันทีแต่ก็อยู่ในอาการโคม่าและอยู่ได้อีกเพียงสี่วัน

การลอบยิงเสธ.แดง เป็นการยืนยันว่าจะต้องเกิดความรุนแรงขึ้นต่อไป เพราะนี่เป็นการตัดกำลังแกนนำฝ่ายบู๊

แม้แกนนำจะรู้สึกกังวลและหวาดกลัวการลอบยิง แต่ก็ยังชุมนุมต่อ มีการใช้สแลนสีดำมาขึงด้านบนของเวที เพื่ออำพรางเป้า

 

การกระชับพื้นที่ 14-17 พฤษภา
มีการปิดล้อมไม่ให้คนเข้าร่วมชุมนุม
การปะทะจึงขยายแนว

จุดการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับทหารกระจายออกไปตามจุดต่างๆ เช่น ถนนพระราม 4 บริเวณสวนลุมไนท์บาซาร์ แยกศาลาแดง แยกถนนวิทยุ บ่อนไก่ ฝ่ายผู้ชุมนุมเผายางรถยนต์เป็นม่านควันเพื่อไม่ให้พลซุ่มยิงเห็นได้ถนัด

ตอนค่ำมีการยิง M-79 เข้าใส่แยกศาลาแดงและถนนสีลม และแยกประตูน้ำ มีผู้เสียชีวิตรวมบาดเจ็บทุกวัน

ถนนสุดยอดอันตรายคือถนนราชปรารภ ตั้งแต่ประตูน้ำไปจนถึงแยกดินแดง โดยเฉพาะบริเวณปากซอยรางน้ำ ซอยหมอเหล็ง และสามเหลี่ยมดินแดง เป็นจุดปะทะหนัก

ถนนเส้นนี้เดิมเป็นเส้นทางเข้า-ออก และเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหารเข้าไปส่งผู้ชุมนุม

แต่ในวันที่ 15 ก็ไม่สามารถเข้าไปได้แล้วเพราะมีจุดซุ่มยิงจากอาคารสูง ไม่น้อยกว่าสองจุด

กลุ่มผู้ชุมนุมที่เข้ามาสมทบจึงติดอยู่ตรงบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงและอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

การต่อสู้บริเวณนี้มีชาวบ้าน สื่อมวลชน เจ้าหน้าที่กู้ภัย ถูกยิงด้วยสไนเปอร์เสียชีวิตมากที่สุด

การปะทะกันยังรุนแรงมากขึ้น รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพิ่มขึ้นใน 5 จังหวัดทางภาคอีสาน การปะทะกันบนถนนพระราม 4 ยังมีอยู่เหมือนเดิม ยางรถยนต์ยังถูกนำมาจุดไฟเผาบนถนน ตอนค่ำห้างโลตัสพระราม 4 ถูกเผา มีการตัดน้ำตัดไฟแถวบ่อนไก่ มีการเผาธนาคารกรุงเทพสาขาดินแดง ประชาชนเริ่มกักตุนอาหารเพราะไม่แน่ใจสถานการณ์ รัฐบาลประกาศให้วันที่ 17-18 เป็นวันหยุดราชการในกรุงเทพฯ

แกนนำ นปช.ต้องการเจรจากับรัฐบาล ขอให้หยุดยิงและถอนทหารออกจากพื้นที่ แต่รัฐบาลยังใช้แผนกระชับพื้นที่ต่อไป

4 วันที่ผ่านมามีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 35 ราย บาดเจ็บเกือบ 300 คน ราชประสงค์ถูกปิดล้อมทุกด้าน รัฐบาลพยายามเกลี้ยกล่อมให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ เพื่อจะสลายได้ง่าย

แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ไป การเข้า-ออกถูกปิด ทั้งรถเมล์ เรือด่วน รถไฟฟ้า ถูกตัดหมด

มีเส้นทางหนูรอดมุดไปตามตรอกซอยด้วยมอเตอร์ไซค์เท่านั้น แต่ก็ต้องระวังการดักซุ่มยิง

 

เจรจาไม่สำเร็จ ถูกสลายการชุมนุม

…ตามประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่ เหตุการณ์ร้ายแรงควรจะจบลงแบบมีผู้ใหญ่เข้ามาไกล่เกลี่ยประนีประนอมตั้งแต่สงกรานต์ เพราะตอนนั้นยังมีรัฐบาล และรัฐสภา

แต่คราวนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง ไม่รู้ว่ากรรมอะไรมาบังตา ทำให้ไม่มีใครสนใจจะช่วยทำให้เหตุการณ์สงบ กลับขยายความขัดแย้งให้ยืดเยื้อต่อไปและรุนแรงมากขึ้น กว่าจะมี ส.ว.พยายามเป็นตัวกลางสงบศึก ก็สายเกินไป

18 พฤษภาคม ศอฉ.ประกาศให้มีการหยุดราชการในกรุงเทพฯ ไปอีก 3 วัน คือ 19-21 ในตอนเย็น พล.อ.เลิศรัตน์ ส.ว.สรรหาได้นำ ส.ว.กลุ่มหนึ่งเข้ามาปรึกษากับแกนนำ นปช.ที่ราชประสงค์เพื่อหาทางยุติความขัดแย้ง โดยหวังว่าวันรุ่งขึ้นอาจจะเจรจากับรัฐบาลได้โดยมี ส.ว.เป็นตัวกลาง

แต่หลังจากนั้นก็มีข่าวว่าทหารจะเข้าสลายการชุมนุมในเช้ามืดวันรุ่งขึ้น เวลาตี 5 ผู้ที่ไม่ต้องการให้ถูกจับ ต้องมุดหนีออกไป พวกที่เหลืออยู่ก็พร้อมรับทุกสถานการณ์

ใครเป็นผู้ล้มการเจรจา?

19 พฤษภาคม ปฏิบัติการสลายการชุมนุมเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลาประมาณ 4 นาฬิกา ทางฝ่ายผู้ชุมนุมก็รู้ตัว พอสว่างทหารก็นำรถหุ้มเกราะเข้าเคลียร์พื้นที่ทลายป้อมค่ายที่เป็นยางรถยนต์ทางด้านสวนลุมฯ แล้วเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ มีการยิงทั้งบริเวณสวนลุมฯ และในแนวถนนราชดำริ ช่วงเช้า เวทียังตรึงผู้ชุมนุมให้อยู่ในระเบียบได้ ตอนบ่ายโมงแกนนำ นปช.ตัดสินใจยุติการชุมนุมแล้วยอมมอบตัว แม้จะมีผู้ชุมนุมบางส่วนไม่ยอม

การสูญเสียมีบ้าง แต่น้อยกว่าที่ทางการคาดไว้ เป็นเพราะไม่มีอาวุธร้ายแรงในที่ชุมนุม และแทบไม่มีการยิงต่อสู้ การถูกลูกหลงจึงไม่มี มีแต่ตั้งใจกับไม่ตั้งใจเท่านั้น

การชุมนุมจบลงเมื่อแกนนำเข้าไปมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งอยู่ใกล้กับสี่แยกราชประสงค์ ผู้ชุมนุมบางส่วนเข้าไปอยู่ในวัดปทุมวนาราม บางส่วนเดินไปขึ้นรถที่สนามกีฬา

และในที่สุดผู้ชุมนุมคนสุดท้ายก็ต้องเก็บธงแดงและออกจากพื้นที่ไป เพราะทหารได้เข้าควบคุมพื้นที่ทั้งหมดแล้ว

หลังจากแกนนำมอบตัวและมีการสลายมวลชนจากที่ชุมนุมสี่แยกราชประสงค์แล้วเหตุการณ์ควรจะจบ แต่กลับกลายเป็นว่ามีการเผาบริเวณโรงหนังสยามและห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่ง 2 จุดนั้นทหารน่าจะควบคุมไว้แล้ว แต่ว่าเกิดไฟไหม้แล้วไม่มีรถดับเพลิงที่สามารถเข้าไปดับเพลิงได้

หลังจากนั้นยังมีการยิงเข้าใส่ประชาชนที่หลบไปอยู่ในวัดปทุมวนารามทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 6 คน

ในการกระชับพื้นที่บริเวณราชประสงค์และโดยรอบตลอด 7 วัน น่าจะมีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 55 ราย แต่รวมตลอดทั้งเหตุการณ์มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 คน บาดเจ็บนับพัน ซึ่งมีทั้งชาวบ้านที่โดนลูกหลง และนักสู้ธุลีดิน

 

10 ปีที่ผ่านมา คนที่บาดเจ็บและเสียชีวิต
ไม่มีแม้โอกาสที่จะฟ้องร้องผู้รับผิดชอบ

ความตายในเดือนเมษายน-พฤษภาคม เป็นเพียงแค่การจบภาคหนึ่งของการต่อสู้ที่กินเวลาประมาณ 5 ปี แต่ยังมีการชิงอำนาจและสืบทอดอำนาจในภาค 2 ที่ดำเนินต่อมาอีก 10 ปี

การล้อมปราบผู้ชุมนุมครั้งนี้ มีการระดมกำลังพลของกองทัพถึง 67,000 นาย

มีการเบิกจ่ายกระสุนจริงถึง 597,500 นัด ส่งคืน 479,577 นัด

เท่ากับมีการใช้กระสุนจริงไปทั้งสิ้น 117,923 นัด

มีการเบิกจ่ายกระสุนสำหรับการซุ่มยิง (สไนเปอร์) 3,000 นัด ส่งคืนเพียง 880 นัด เท่ากับใช้ไป 2,120 นัด

และมีการประกาศ “เขตกระสุนจริง” ต่อผู้ชุมนุมอย่างเปิดเผย และนี่เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต

ความจริง…คือ…ความตายปี 2553 สืบเนื่องมาจากการรัฐประหาร 2549 และตุลาการภิวัฒน์ 2551

สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ไม่ใช่อุบัติเหตุ เพราะเกิดความรุนแรงขึ้นหลายครั้งหลายหน มีระยะเวลาติดต่อกันนานกว่า 2 เดือน

นี่เป็นการตัดสินใจปราบด้วยอาวุธสงครามของกลุ่มคนที่มีอำนาจจริง เพื่อรักษาอำนาจที่ไปแย่งชิงจากประชาชนมา (หลังการเลือกตั้ง 2548 และการเลือกตั้ง 2550)

การต่อสู้ไม่จบไปพร้อมกับความตาย 2553 แต่มีภาคสอง จาก 2554 จนถึงวันนี้ยังไม่รู้บทจบ