ต่างประเทศ : การผ่อนคลายล็อกดาวน์ กับความเสี่ยงระบาดระลอก 2

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “ซาร์ส โคฟ-2” ไวรัสก่อโรค “โควิด-19” ที่แพร่ระบาดไปทั่ว กินเวลาล่วงเลยมาแล้วเกือบ 5 เดือน หลายๆ ประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ลงหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มดีขึ้นตามลำดับ

ตั้งแต่ชาติที่เป็นจุดเริ่มต้นการแพร่ระบาดอย่างจีน โดยเฉพาะในเมืองอู่ฮั่น ในมณฑลหูเป่ย ที่ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติกันอีกครั้ง

หลายประเทศในยุโรปที่เคยถูกเชื้อไวรัสเล่นงานอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคนอย่างอิตาลีและสเปนก็เริ่มผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดเพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง หลังจากเยอรมนี ชาติที่ได้ชื่อว่าควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี ผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ลงเป็นประเทศแรกๆ ในยุโรป

มาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ย่อมมาพร้อมกับความกังวลถึง “การแพร่ระบาดระลอกที่ 2” ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ใน “เกาหลีใต้” “เยอรมนี” และ “จีน” เพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าจะเร็วไปหรือไม่ที่มนุษยชาติจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

เกาหลีใต้เป็นชาติแรกๆ ที่ต้องสู้รบกับการแพร่ระบาด และอยู่ในเส้นทางของการค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ลงเรื่อยๆ หลังจากการใช้มาตรการตรวจเชื้อจำนวนมากและใช้เทคโนโลยี “คอนแท็กต์ เทรซซิ่ง” เข้ามาช่วย ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเหลือตัวเลขหลักเดียวเท่านั้น

แต่การแพร่ระบาดกลุ่มใหม่ที่มีต้นตอจาก “สถานบันเทิงย่านอิแทวอน” ในกรุงโซล ที่มีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นมาทะลุ 100 รายไปแล้วกลับทำให้เกิดความกังวลมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการสืบสวนโรคยิ่งทำได้ยากขึ้นเพราะสถานบันเทิงหลายแห่งในย่านดังกล่าวดึงลูกค้าจากกลุ่ม “ชาวเกย์” ที่มักใช้ชื่อและเบอร์โทร.ปลอมในการเข้าใช้บริการ เนื่องจากสังคมเกาหลีใต้ยังไม่ยอมรับเพศที่ 3

นั่นทำให้รัฐบาลอาจต้องกลับมาคิดทบทวนนโยบายทั้งหมดใหม่ ล่าสุดรัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศเลื่อนแผนที่จะกลับมาเปิดให้มีการเรียนการสอนในโรงเรียนอีกครั้งออกไปแล้ว

ประธานาธิบดีมุน แจ อิน แห่งเกาหลีใต้ต้องออกมาแถลงเตือนให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังสูงสุดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดกลับมาอีกครั้ง และยืนยันว่าการแพร่ระบาดนั้นยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ

 

ในจีนเองต้องกลับมาวางมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวดอีกครั้งหลังจากเกิดการติดเชื้อในท้องถิ่นในเมืองซูหลาน มณฑลจี๋หลิน มณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนอีกจำนวน 11 ราย

สิ่งหนึ่งที่น่ากังวลสำหรับจีนก็คือ จี๋หลินเป็นมณฑลที่มีชายแดนติดกับเกาหลีเหนือและประเทศรัสเซีย ประเทศที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งทะลุ 220,000 รายไปแล้ว กลายเป็นชาติที่ติดเชื้อเป็นอันดับ 2 ของโลกในเวลานี้

ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นก็คือ การพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน จุดเริ่มต้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลก ที่กลับมาพบผู้ติดเชื้ออีกครั้ง 5 รายจากผู้ติดเชื้อทั่วประเทศทั้งหมด 17 รายทั่วประเทศ

ก่อนหน้านั้น 1 วันจีนพบผู้ติดเชื้อ 14 ราย นับเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเป็นตัวเลข 2 หลักในรอบเกือบ 10 วัน

การที่ตัวเลขกลับมากระโดดขึ้นอีกครั้งส่งผลให้เกิดความหวั่นเกรงว่าอาจมีการแพร่ระบาดปะทุขึ้นอีกเมื่อใดก็ได้ ส่งผลให้รัฐบาลจีนประกาศเตือนประชาชนให้ระมัดระวังตัวเองและยังคงปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัดต่อไป

 

นอกจากในเอเชียแล้ว ในภูมิภาคยุโรป ชาติที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีก็คือเยอรมนี

อย่างไรก็ตาม หลังการผ่อนคลายมาตรการทางสังคม “อัตราการแพร่เชื้อต่อ” หรือ R0 กลับเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 อีกครั้งในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ตัวเลขดังกล่าวหมายความว่าผู้ติดเชื้อ 1 คนสามารถส่งต่อเชื้อให้กับคนมากกว่า 1 คนแล้ว

ก่อนหน้านี้เยอรมนีประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาด ผลจากระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่งและการตรวจเชื้อให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงจำนวนมาก ส่งผลให้ R0 ในวันที่ 7 พฤษภาคม วันที่เยอรมนีผ่อนคลายการล็อกดาวน์เป็นวันแรก ลดลงเหลือ 0.65 เท่านั้น

แน่นอนว่าสถานการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลเยอรมนีต้องจับตามองการแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดและมีมาตรการเตรียมพร้อมเอาไว้ ซึ่งรัฐบาลก็ได้ตั้งเกณฑ์เอาไว้ว่า พื้นที่ใดหากพบผู้ติดเชื้อถึง 50 ราย ต่อประชากร 100,000 ราย มาตรการล็อกดาวน์จะถูกนำมาบังคับใช้ใหม่อีกครั้ง ซึ่งในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีหลายพื้นที่ซึ่งเข้าเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว

อีกตัวอย่างที่ต้องศึกษาก็คือสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ ที่ในต้นเดือนเมษายนมีผู้ติดเชื้อในประเทศเพียง 2,000 รายเท่านั้น แต่ในเวลานี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากกว่า 23,000 รายเข้าไปแล้วหลังจากเกิดการแพร่ระบาดในหอพักแรงงานต่างด้าว

ซึ่งในสิงคโปร์ก็ถูกมองเช่นกันว่าเป็นอีกตัวอย่างของการผ่อนคลายความเข้มงวดเร็วเกินไปหรือไม่ แม้รัฐบาลพยายามอย่างหนักในการควบคุมการแพร่ระบาดด้วยเทคโนโลยีคอนแท็กต์ เทรซซิ่ง หรือแม้กระทั่งการใช้ “หุ่นยนต์สุนัข” ในการเตือนให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมแล้วก็ตาม

ในเวลานี้ไม่มีใครตอบได้ว่าสถานการณ์โรคระบาดครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติจะจบลงเมื่อใด แต่ที่ทำได้ในเวลานี้คือศึกษาข้อมูลให้ได้มากที่สุด ดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดซ้ำเป็นระลอกที่ 2

สถานการณ์ที่ถูกมองเอาไว้ว่าจะส่งผลเสียหายร้ายแรงยิ่งกว่าการแพร่ระบาดระลอกแรกเสียอีก