วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู / เสถียร จันทิมาธร / ความนัย เร้นลึก เหมยฉางซู (42)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

ความนัย เร้นลึก เหมยฉางซู (42)

 

ยิ่งได้รับการชูขึ้นสูงเด่น ยิ่งตกอยู่ในเป้าหมายของแสงแห่งสปอตไลต์ฉายจับ นั่นหมายถึงจะต้องพบกับพายุคลุ้ม ฝนคลั่ง กระหน่ำใส่

เหมือนที่เซี่ยตงตั้งข้อสังเกต

ประกอบกับสายสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยตงกับหนีหวงจวิ้นจู่แนบแน่นมาอย่างยาวนาน การตกเป็นเป้าหมายว่านี่คือบุคคลที่ราชสำนักหมายตาไว้สำหรับหนีหวงจวิ้นจู่จึงสำคัญ

ดังที่เซี่ยตงเองก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

“ข้ากับหนีหวงจวิ้นจู่คบหากันมานาน นิสัยใจคอของนางนับว่าเข้าใจอยู่หลายส่วน หากมิใช่สาเหตุผิดปกติต่อให้เป็นยอดคนที่ฝ่าบาทและรัชทายาทโปรดปรานสักเพียงใดนางก็ไม่มีวันปฏิบัติต่อท่านถึงระดับนี้

ทว่าสิ่งที่ท่านตอบแทนความไว้วางใจของจวิ้นจู่กลับสร้างความผิดหวังให้แก่ผู้คนยิ่งนัก พูดได้ว่าไม่เคยตอบสนองน้ำใจเลยจะดีกว่า นี่ทำให้ข้างุนงงยิ่งนัก บ้านตระกูลมู่ก็มีคนรู้สึกเหมือนข้าเช่นกัน

รู้สึกว่าท่านซูออกจะเมินเฉยไร้ซึ่งไมตรีจิตจนเกินไป”

ได้ยินดังนั้นเหมยฉางซูผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า ยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกคำหนึ่งค่อยกล่าวเสียงเนิบช้าเป็นคำตอบ

“ใต้เท้าเซี่ย ผู้แซ่ซูขอกล่าวตามตรง ท่านผิดแล้ว”

 

จวิ้นจู่สง่างาม เพียบพร้อม จิตใจบริสุทธิ์สูงส่ง ผู้แซ่ซูมิได้ตาบอด หูหนวก ไหนเลยไม่นิยมชมชอบ เพียงแต่ว่า

1 ด้วยร่างกายอ่อนแอ โรคภัยรุมเร้า อายุไม่ยาวยืน

ดังนั้น ทุกวันนี้ยังไม่ได้แต่งภรรยาก็เพราะไม่อยากทำให้บุตรสาวชาวบ้านต้องพลอยลำบาก ประสาอะไรกับจวิ้นจู่เล่า

ประการที่ 2 ต่อให้ผู้แซ่ซูมีใจ จวิ้นจู่คงไม่มีใจให้

ดังเช่นใต้เท้าเซี่ยกล่าวเมื่อครู่ ผู้แซ่ซูไม่ว่าจัดอยู่ในบุคคลประเภทใดล้วนไม่เหมาะสมกับจวิ้นจู่ ใต้เท้ายังทราบ จวิ้นจู่หรือจะไม่ทราบ

คนที่สามารถเข้าไปอยู่ในใจนางได้ต้องเป็นชายชาตรีอกสามศอก พร้อมบุกน้ำลุยไฟ ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ ไม่หวั่นเกรงศัตรู

ไหนเลยเป็นเช่นผู้แซ่ซูที่เกียจคร้าน ปราศจากความองอาจเล่า

เป็นความจริงที่หนีหวงจวิ้นจู่ปฏิบัติต่อผู้แซ่ซูอย่างดี ทว่าสาเหตุลึกๆ กลับมิใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจ ใต้เท้าเซี่ยเป็นถึงทูตส่องธรรม ฝีมือมิใช่ธรรมดา

คิดว่าคงสืบเสาะความเป็นมาของผู้แซ่ซูอย่างละเอียดแล้วกระมัง ฐานะของข้าจวิ้นจู่ก็ทราบดี

ที่นางเหลือบแลผู้แซ่ซู มิใช่อื่นใด แต่เพราะเหตุผลนี้

 

นั่นเท่ากับว่าเหมยฉางซูเปิดทางให้เซี่ยตงตีความและเข้าใจว่ามาจากสายสัมพันธ์และความพอใจต่อพรรคบูรพานที

เซี่ยตงเลิกคิ้วสูง ดวงตาทอประกายฉงน

“พรรคบูรพานทีแม้เป็นพรรคใหญ่อันดับ 1 มีหน้ามีตา แต่ขอกล่าวอย่างไม่เกรงใจสักประโยค นั่นก็แค่ค่ายสำนักในยุทธจักรเท่านั้น จวิ้นจู่ชาติตระกูลสูงศักดิ์ มีกองทหารใต้บัญชา 10 หมื่น หรือฐานะท่านยังข่มนางได้”

“จวิ้นจู่ไหนเลยถูกข่มได้” เหมยฉางซูหัวเราะ

“ข้าไม่กล้ามีความคิดเพ้อเจ้อ ข้าแค่กล่าวว่าจวิ้นจู่เพราะเห็นแก่ฐานะประมุขพรรคของข้าจึงปฏิบัติต่อข้าเป็นพิเศษ นี่กลับไม่เท็จแม้แต่น้อย”

“คนบนโลกใช่จะฉลาดเช่นท่านทุกคน สามารถบอกกล่าวชัดเจนหรือไม่”

“ไห่เยี่ยน” บรรยายตามสำนวนของ “ลีหลินลี่” ว่า เหมยฉางซูขยับนั่งตัวตรง ล้วงแผ่นหอมหลายแผ่นจากในแขนเสื้อโยนใส่เตา 3 ขาข้างหน้า

จากนั้นเอาโส่วหลู (เตาถ่านขนาดเล็กมีฝาปิดสำหรับถือในมือให้ความอุ่น) ที่กอดไว้ตลอดเวลาในอ้อมอกออกมาเปิดฝา ใช้ที่คีบเล็กๆ หนีบถ่านแดงหลายก้อนเปลี่ยนใส่เข้าไป แล้วกอดกระชับไว้อีกครั้ง พลางขยับเปลี่ยนท่านั่งให้สบายขึ้นค่อยกล่าวว่า

“แม้ท้องฟ้ามืดมิดแต่นั่งผิงไฟกลางกลิ่นกำยานหอมหวน มีชาชั้นดีอยู่ในมือ นับเป็นความสุขชนิดหนึ่งเช่นกัน ใต้เท้าเซี่ยหากไม่มีธุระเร่งร้อนสามารถรั้งอยู่ในศาลาหลังนี้ฟังผู้แซ่ซูเล่านิทานสักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”

สายตาเซี่ยตงหยุดอยู่บนใบหน้าจืดชืดของเหมยฉางซู เนิ่นนานให้หลังค่อยถอนสายตากลับ

วันนี้ก่อนมาจวนหนิงกั๋วโหว นางเคยนึกภาพซูเจ๋อว่าเป็นคนเช่นไร แต่หลังจากได้เห็นตัวจริงค่อยพบว่าเขายังเคร่งขรึมกว่าที่นางคิดไว้มากนัก

“ในเมื่อท่านซูมีเวลาว่าง เซี่ยตงยินดีล้างหูน้อมรับฟัง”

 

ไม่ว่าเซี่ยตง ไม่ว่าหนีหวงจวิ้นจู่ เนื่องจากเป็นสตรีแถวหน้า เพราะว่าคนหนึ่งเป็นทูตส่องธรรม เพราะว่าคนหนึ่งเป็นแม่ทัพ

การปลดปล่อยจากท่วงทำนองสตรีแบบเก่าจึงเป็นเรื่องปกติ

การเล่า “นิทาน” ของเหมยฉางซูจึงมิได้เป็นเรื่องอันเลื่อนลอยและว่างเปล่า