‘จตุพร’ จี้ รบ.แจงมาตการให้ชัด หลังจากประกาศปิดพื้นที่เสี่ยงห้าง-ร้านค้าทำคนตกงาน

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี มีการจัดรายการลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์ ในรูปแแบบใหม่ หลังมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการรับมือการเเพร่ระบาดจึงงดเว้นการรวมตัวจัดกิจกรรมออกไปก่อน มีเพียงการสื่อสารของประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไปยังพี่น้องมวลชนเป็นปกติทุกสัปดาห์

โดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวว่า สถานการณ์ของประเทศไทยขณะนี้ที่ตนอยากจะพูดในหัวข้อโควิด-19 คือการเดิมพันประเทศไทย เดิมพันชีวิตคนไทย เดิมพันอนาคตของรัฐบาลดังนั้นที่ผ่านมาทั้งในส่วนของรัฐบาล ผู้ที่เกี่ยวข้อง แพทย์และกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ รวมถึงหัวหน้ารัฐบาล นายกรัฐมนตรี ต่างก็ได้ทำหน้าที่ขณะเดียวกันคนที่ไม่ได้อยู่ในส่วนของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านหรือประชาชนกลุ่มต่างๆ ก็มีข้อเสนอแนะ แต่ส่วนตัวอยากบอกกับประชาชนว่าเราต้องอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงและต้องตัดสินใจอย่างเดียวกัน แม้ว่าคนไทยจะอยู่ในสถานการณ์ที่ภาษาพระ เรียกว่าอัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนก็ตาม แต่เมื่อรัฐบาลประกาศมาตรฐานต่างๆ แม้ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม คนไทยจะไม่มีทางเลือกดังนั้นเมื่อรัฐบาลประกาศมาตรการใดเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล ในส่วนของประชาชนก็ปฏิบัติตามและที่สำคัญคือหากมาตรการล้มเหลวก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของทางรัฐบาล อย่างไรก็ตามหลายคนได้ตั้งข้อสังเกตและข้อเรียกร้องว่าเมื่อมาตรการเริ่มต้นปิดห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารไม่ให้ประชาชนเข้าไปนั่งกินดื่ม ปิดผับปิดบาร์สถานบริการต่างๆ โรงเรียน มหาวิทยาลัย แต่หลายคนก็ตั้งข้อสงสัยว่าทำไมรัฐบาลยังไม่ปิดประเทศ แม้ว่าสภาพประเทศไทยในขณะนี้เป็นเสมือนกึ่งปิดประเทศไปแล้ว แต่เมื่อรัฐบาล มีมาตรการ โดยเริ่มต้นจากท้องถิ่นอย่างกรุงเทพมหานคร ก็เชื่อว่าอีกหลายจังหวัดต้องปฏิบัติตามแนวทาง คือการ ปิดสถานที่ต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประชาชนไปพบปะกันจำนวนมาก แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับมาตรการต่างๆ ที่ประกาศออกมานั้น ก็ต้องปฎิบัติตาม และเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่ามาตรการต่างๆ นั้น แม้จะถูกตั้งข้อสังเกตจำนวนมาก ก็ไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น ดังนั้น การคาดการณ์ทางการแพทย์ บางส่วนที่ระบุว่าหากไม่มีมาตรการใดเพิ่มเติมนั้น คนจะติดเชื้อกว่า 3 แสน และตายกว่า 7,000 คนในช่วง 30 วันถัดจากนี้ไป แต่หาก มีมาตรการ 1 2 3 คนจะติดเชื้อหลักหมื่น และตายร่วม 400 คน ซึ่งแปลความได้ว่า ไม่ว่าจะมี มาตรการใดหรือไม่ แตกต่างคือ จำนวนคนติดเชื้อ และจำนวนคนตายเท่านั้น

นายจตุพรกล่าวอีกว่า วันนี้ตอนเช้ามีการแถลงพบผู้ติดเชื้อวันเดียวสูงถึง 188 ราย และมียอดผู้ติดเชื้อสะสมรวม 599 ราย และเชื่อว่ายอดผู้ติดเชื้อจะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่ามีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยเพียง 1 ราย แต่ทางด้านจิตใจได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก มีความวิตกกังวลและในขณะเดียวกัน ในสถานการณ์เริ่มต้นการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลที่ประชาชนมีความคลางแคลงใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกรณีหน้ากากลุกลามไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่ไม่น่าเชื่อมั่น ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ หากองค์ประกอบของรัฐบาลสร้างความน่าเชื่อถือมาตั้งแต่ต้นสถานการณ์ของประเทศไทยจะไม่เลวร้ายถึงขนาดนี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ คำว่าเจ็บแล้วจบ กับคำว่า เจ็บๆ คันๆ ยกระดับมาตรการไปเรื่อยๆ จะทำให้การแก้ไขปัญหากรณีดังกล่าวนี้ แม้จะเปิดให้บริการ ห้างสรรพสินค้าในวันที่ 12 เมษายนนี้ ตนก็ยังเชื่อว่าเดือนเมษายนก็ยังไม่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์โควิด-19 ไม่ได้ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา ตนก็ไม่แน่ใจว่าจะเปิดประชุมได้ ขณะเดียวกันโรงเรียนที่จะเปิดการเรียนการสอนในเดือนมิถุนายน หรือแม้แต่มหาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆ ได้มีการเตรียมการเรียนการสอนผ่านทางออนไลน์ เสมือนรู้ว่าวิกฤตการณ์นี้ยังไม่จบ ดังนั้นไม่มีอะไรยืนยันว่าสถานการณ์เเพร่ระบาดของโควิด-19 จะจบลงเมื่อใด

“เมื่อรัฐบาลและท้องถิ่นประกาศมาตรการต่างๆ ออกมาแล้ว สิ่งที่จะต้องตระหนักคือประชาชนมีความยากลำบากทางเศรษฐกิจ และหากมองคนใน สหรัฐอเมริกาเมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้น สิ่งแรกที่คนอเมริกาทำคือการตระเวนไปซื้อปืน เพราะเขารู้ว่า โรคระบาดมาพร้อมกับ การก่ออาชญากรรม ลัก วิ่ง ชิง ปล้น ดังนั้นการให้หยุดงาน รัฐบาลจะต้องแถลงมาตรการต่างๆ ให้ชัดขณะเดียวกัน งบประมาณแผ่นดินที่จะใช้ดำเนินการในส่วนต่างๆให้หยุดไว้ก่อน เงินในส่วนต่างๆ เเม้กระทั่งการชำระหนี้ต่างประเทศ ตนเชื่อว่าทั่วโลกเข้าใจ เพราะกว่า 140 ประเทศเกิดการเเพร่ระบาดของโควิด-19 และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นอะไรไม่จำเป็นให้หยุดไว้ก่อน และรัฐจะต้องนำเงินเหล่านั้นมาเยียวยาประชาชน เพราะมาตรการที่บอกว่าให้อยู่บ้านเพื่อชาตินั้นจะมีปัญหาคือ อยู่บ้านแล้วจะกินอะไร ดังนั้นมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งการผ่อนชำระหนี้ธนาคารห้างร้านบริษัทต่างๆ ที่มีมาตรการออกมาในระหว่างนี้ไม่ต้องผ่อนส่ง และมองว่า คนไทยสั่งสมทุกข์กันมายาวนานซึ่งก่อนหน้านี้มีทั้ง น้ำท่วม ภัยแล้ว และล่าสุด ก็วิกฤตการณ์ โควิด-19 ก็เชื่อว่าหลายครอบครัวสิ้นเนื้อประดาตัว“ นายจตุพรกล่าว

นายจตุพรกล่าวอีกว่า รัฐบาลต้องมีมาตรการที่ชัดเจน ในการเอกซเรย์คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ฟรีนั้นจะต้องมีมาตรการคัดกรอง ด่าน 1 ด่าน 2 เช่น มีประวัติอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ ส่วนคนที่วิตกกังวลยังไม่จำเป็นต้องตรวจ เพราะไม่มีพฤติกรรมกลุ่มเสียง ดังนั้นคนที่อยู่ในกลุ่มเสียง รัฐบาลจะต้องมีมาตรการที่ชัดเจน และควรใช้งบประมาณของแผ่นดินให้ประชาชน ได้ตรวจฟรี เพราะไปโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งมีค่าใช้จ่ายในการตรวจหาเชื้อสูงถึง 6,500 บาท หรือมากกว่านั้นก็มี ท่ามกลางสถานการณ์คนตกงานว่างงานกันค่อนข้างมาก จึงไม่ควรไปเพิ่มภาระประชาชนโดยไม่จำเป็น ขณะเดียวกันสิ่งที่ทุกฝ่ายเรียกร้องมาให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ฟรีนั้นรัฐบาลก็ไม่มีท่าทีที่ชัดเจน เพียงแค่ระบุว่าให้เข้าเงื่อนไข แต่ตนอยากบอกรัฐบาลว่า ให้แถลงอย่างเป็นทางการ และควรให้ข่าวเพียงจุดเดียวเพื่อป้องกันความสับสน โดยให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้แถลงใน มาตรการสำคัญต่างๆ และให้แพทย์เป็นผู้ขยายความ อีกทั้งการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่จำเป็นต้องรอประชุมในวันอังคาร กลับในสถานการณ์พิเศษแบบนี้สามารถประชุมวันใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรอทุกวันอังคาร แต่อย่างไรก็ตามตนขอให้กำลังใจทุกฝ่ายที่ได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะหน่วยแพทย์พยาบาล