มงคล วัชรางค์กุล : ขอต้อนรับ “ผีน้อย” กลับบ้าน คนไทยอย่า “Panic” ตื่นตระหนก จนเปลี่ยนไวรัสโควิด-19 เป็น “Mind Flu” ไวรัสทางจิตใจ ขอให้เป็นแค่ “Mild Flu” ไวรัสอ่อนๆ

ข่าวใหญ่ในเมืองไทยที่สร้าง “ความตื่นตระหนก (Panic)” ให้คนทั้งประเทศในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2563 คือข่าวการเดินทางกลับบ้านของ “ผีน้อย” (Pinoy) คือคนงานไทยที่ทำงานอย่างผิดกฎหมายไม่มีใบอนุญาตทำงานในเกาหลี ที่คาดว่าจะทยอยเดินทางกลับจากเกาหลีคืนสู่เมืองไทยนับแสนคน

สาเหตุแห่งการ “แพนิก” เป็นเพราะเกาหลีกำลังเป็นแหล่งระบาดของไวรัสโควิด-19 (COVID-19) แหล่งใหญ่ที่สุดในโลกนอกประเทศจีน

หรือกล่าวอีกอย่างคือ เกาหลีมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีคนติดเชื้อเป็นอันดับสองของโลก

ขณะที่เขียนต้นฉบับนี้วันที่ 7 มีนาคม 2563 เกาหลีมีผู้ป่วยสะสม 7,041 คน ตาย 42 คน และตัวเลขยังไม่นิ่ง มีผู้ป่วยและตายเพิ่มทุกวัน

เมืองที่เป็นแหล่งระบาดหนักในเกาหลีคือเมืองแทกูและเมืองคยองซัง จังหวัดคยองซังเหนือ มีรายงานข่าวด้วยว่า มี “ผีน้อย” ไทยติดเชื้อในเมืองนี้เข้ารักษาตัวอยู่ที่เกาหลี

จึงเกิดการตื่นตระหนกว่า “ผีน้อย” ที่กลับจากเกาหลี โดยเฉพาะที่กลับจากสองเมืองนั้น จะนำเชื้อโควิด-19 มาแพร่ระบาดในเมืองไทยจนควบคุมไม่ได้

 

มีการเผยแพร่ข้อความในเฟซบุ๊กแอนตี้ “ผีน้อย” ต่างๆ นานา บางคนเขียนว่า คนเหล่านี้เข้าเกาหลีอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดเพราะไม่รู้จริง ข้อเท็จจริงคือ การเข้าเมืองโดยผ่านการประทับตราของ ตม. (ไม่ได้ว่ายน้ำเข้าประเทศ) ถือเป็นการเข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมายทั้งนั้น

ส่วนการไปทำงานโดยไม่มีเวิร์กเพอร์มิต หรือใบอนุญาตทำงานนั้นถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

บางคนเขียนว่า ไม่ควรตรวจรักษาพยาบาลให้ “ผีน้อย” เพราะไม่เคยเสียภาษีให้รัฐบาลไทย ควรจะนำตัวไป “ปล่อยเกาะ” มากกว่า ซึ่งนับว่าเป็นความคิดจากจิตใจที่คับแคบมาก

เพราะถึงแม้ “ผีน้อย” จะไม่เคยเสียภาษีให้รัฐบาลไทยนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในประเทศ ไม่ได้ใช้ Facilities สิ่งอำนวยประโยชน์ เช่น ถนนหนทาง จึงไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษี

แต่มองอีกมุมหนึ่ง เงินค่าแรงที่พวก “ผีน้อย” ส่งกลับเมืองไทย จากค่าแรงวันละ 2,000 +,- บาทนั้น มาหมุนเวียนในเมืองไทยมากมายกว่าภาษีจากค่าแรงวันละ 300 บาทของคนในประเทศมากนัก

“ผีน้อย” มีที่มาจากภาษาตากาล็อกว่า Pinoy ภาษาอังกฤษไม่มีคำนี้ ที่หมายถึงคนฟิลิปินโนที่เข้าไปทำงานในเกาหลีหลายแสนคน มากกว่าคนไทย คนพวกนี้เรียกตัวเองว่า Pinoy และคนเกาหลีก็เรียกว่า Pinoy ด้วย

แต่คนฟิลิปินโนและคนไทยในสายตาของเกาหลีหน้าตาเหมือนกัน แยกแยะไม่ออก จึงหมายรวมเรียกคนไทยว่า Pinoy ด้วย

เมื่อถูกเรียกว่า Pinoy เหล่าคนงานไทยที่แอบทำงานในเกาหลีจึงเรียกตัวเองให้คล่องปากแบบไทยว่า “ผีน้อย”

 

ผมรู้จัก “ผีน้อย” นางหนึ่ง ขอเล่าถึงสาเหตุและขั้นตอนการเป็น “ผีน้อย” ของเธอดังนี้

แรกเริ่มเดิมทีเธอเป็นพนักงานระดับเสมียนในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง เงินเดือนไม่ค่อยพอใช้ จึงต้องรับจ้างซัก-รีดเสื้อผ้าให้คนในอพาร์ตเมนต์เป็นรายได้เสริม ต่อมาพ่อเธอเริ่มไม่สบายต้องการเงินเพิ่มในการรักษาพยาบาล เธอจึงหารายได้เสริมด้วยการเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านข้าวต้ม ทำงานดึกดื่นเลยเที่ยงคืน

แต่เงินได้ที่หามายังไม่พอค่ารักษาพยาบาลพ่อ

เธอจึงตัดสินใจไปตายดาบหน้า เสี่ยงเดินทางไปทำงานในเกาหลี

เธอต้องกู้เงินนอกระบบจ่ายเป็นค่านายหน้า 40,000 บาท ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับที่ต้องโชว์เมื่อเข้าเมืองและเงินติดกระเป๋า

วันเดินทาง เธอบินไปพร้อมกับสาวเผชิญโชคอีกคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ทั้งสองคนได้รับการสอนว่า ให้ตอบ ตม.เกาหลีว่า จะไปเที่ยวที่ไหน พักโรงแรมอะไร จะอยู่กี่วัน

และไม่ต้องแสดงตนว่ารู้จักกัน ต่างคนต่างเสี่ยงผ่านด่าน ตม.ด้วยตัวเอง

เธอโชคดีที่ ตม.เกาหลีไม่ซักถามอะไร ประทับวีซ่าท่องเที่ยวให้เข้าเมืองได้ 90 วัน ส่วนสาวผู้ร่วมทางอีกคนถูกส่งกลับเมืองไทย

เอเย่นต์คนไทยมารับตัวที่สนามบินอินชอน พานั่งรถบัสหลายทอด แถมต่อเครื่องบินเล็กลงไปเมืองท่าปูซาน เธอได้งานทำในร้านอาหารที่เจ้าของร้านเป็นคนไทย

งานร้านอาหารนั้นเหนื่อยและไม่ถูกกับอุปนิสัย ทำได้หนึ่งเดือนเธอจึงย้ายงานมาทำในสวนผักตอนกลางของประเทศ ทำหน้าที่ปลูกผัก รดน้ำ เก็บผักที่ปลูกในกระโจม ทำงานตลอดปี แม้ตอนหน้าหนาวที่หิมะไม่ตกก็ปลูกผักได้

ที่ไร่นี้ยังมีงานปลูกมะเขือเทศอีกด้วย ใช้คนงานไทยเช่นเดียวกัน

งานนี้เป็นงาน “อาราไบต์” ภาษาเยอรมัน เกาหลีใช้ทับศัพท์แปลว่างาน Part Time ไม่ประจำ คือเถ้าแก่เกาหลีไปเหมางานจากเจ้าของไร่ แล้วมาจ้างลูกจ้างคนไทยเหมางานอีกต่อ ให้อาราไบต์ค่าแรงเดือนละ 1,200,000 วอน หรือ 31,675 บาท ทำงานอาทิตย์ละ 6 วัน หยุดหนึ่งวัน, มีที่พักให้ ส่วนเรื่องอาหารต้องหุงหากินเอง

ในทุกกลุ่มคนงานไทย ไม่ว่าจะเป็นงาน “อาราไบต์” เกษตร หรืองานโรงงาน ต่างจะมีชมรมคอยดูแลกัน ห่วงใยกัน

เธอคนนี้ไม่ผ่านฤดูหนาวที่สอง เพราะไม่สบายต้องกลับมาเมืองไทย

และกำลังรอคอยให้พ้นกำหนด Black Lists ได้รับอภัยโทษเพื่อกลับไปเป็น “ผีน้อย” อีกครั้ง คราวนี้ไม่ต้องเสียค่าหัวให้ใครแล้ว

 

จะเห็นว่าทุกชีวิตต่างมีความจำเป็น มีเหตุผลของตัวเองที่ต้องดิ้นรนออกไปหางานทำนอกประเทศ ต้องต่อสู้ อดทนในทุกรูปแบบ

ชีวิต “ผีน้อย” ก็ไม่ต่างกับชีวิต “โรบินฮู้ด” ที่ผมเห็นในอเมริกา

ขอยกย่องว่า ทุกคนที่ทำงานในทุกประเทศคือขุนพลแรงงานไทย ที่นำเงินตราเข้าสู่ประเทศ

มีรายงานข่าวว่า มีแรงงานไทยในเกาหลีราว 200,000 คน เป็นแรงงาน “ผีน้อย” 140,000 คน ที่เหลือเป็นแรงงานที่เข้าไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

“ผีน้อย” เป็นข่าวฮือฮา เพราะทางการเกาหลีประกาศให้แรงงานที่เข้าไปทำงานในเกาหลีอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายมารายงานตัวเพื่อให้อภัยโทษ แล้วเดินทางออกนอกเกาหลีได้โดยไม่ต้องเสียค่าปรับที่อยู่เกินวีซ่า และยังไม่ติด Black Lists สามารถกลับเข้ามาในเกาหลีได้ใหม่

ทั้งนี้ ต้องรายงานตัวระหว่าง 11 ธันวาคม 2019 – 30 มิถุนายน 2020 ถ้ารายงานตัวหลังจากนั้นหรือโดนจับจะต้องเสียค่าปรับและติด Black Lists กลับเข้าเกาหลีไม่ได้

มีข่าวว่าในช่วงเดือนธันวาคม 2562 ถึงกุมภาพันธ์ 2563 มี “ผีน้อย” กลับบ้านมาแล้วราว 5,000 คน โดยทางการไทยไม่มีมาตรการตรวจตราคุมเข้มเรื่องโควิด-19 แต่อย่างใด โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ โควิด-19 เริ่มระบาดหนักในเกาหลีแล้ว

ไม่รู้ว่าตอนนี้เชื้อแพร่กระจายไประดับไหน ทางการก็ไม่แถลงอะไร ได้แต่หลับตาข้างหนึ่ง ทำเป็นลืมเรื่องนี้ไป

 

ตอนนี้มี “ผีน้อย” ที่รายงานตัวที่เกาหลีขอกลับบ้านรอคิวอยู่ 5,000 คน และคงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เมืองไทยมาเริ่มตื่นตัวเอาในการเดินทางกลับของ “ผีน้อย” ในวันที่ 7 มีนาคม เริ่มจากการขอให้เกาหลีกักตัว “ผีน้อย” ไว้ก่อน 14 วัน ก่อนส่งตัวกลับเมืองไทย

ผมดูคำขอของไทยเรื่องนี้ค่อนข้างตลก ทำไมเกาหลีจะต้องมากักตัวให้ไทย 14 วัน เป็นภาระของเขาโดยแท้ เราขอมากไปหรือเปล่า

ส่วนการเดินทางมาถึงของ “ผีน้อย” ในวันที่ 17 มีนาคม เริ่มมีการคัดกรองอย่างเข้มข้น นำตัว “ผีน้อย” ไปกักกันที่บ้านพักรับรองในฐานทัพเรือสัตหีบ 14 วัน เหมือนคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่น

ในฐานสัตหีบจะกักกันได้ 780 คน คงจะเต็มในไม่กี่วันนี้ คงต้องหาที่อื่นต่อไป

 

ผมดูในคลิปข่าว มีคนไทยไปยืนตะโกนก่นด่า “ผีน้อย” ที่สุวรรณภูมิ

ช่างแล้งน้ำใจ ไร้เมตตาธรรมเสียเหลือเกิน

ขณะเดียวกัน วันนั้นมี “ผีน้อย” เล็ดลอดหลบการกักกันไปได้ 80 คน แสดงถึงประสิทธิภาพการทำงานที่ต่ำมาก

ทางการออกคำสั่งให้ “ผีน้อย” ที่หลบหนีการกักกัน รายงานตัวภายใน 3 วัน มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดี

มีคำถามว่า แล้วชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากเกาหลีในเที่ยวบินเดียวกับ “ผีน้อย” ทำไมไม่ถูกกักกันตัว ทางการไทยก็บอกว่า ขอให้กักกันตัวแล้วในโรงแรม

จริงหรือเปล่า ใครจะบินเข้ามาในเมืองไทยเพื่อนอนในโรงแรม 14 วัน

 

งานดูแล “ผีน้อย” กลับบ้าน กลายเป็นงานใหญ่ท้าทายศักยภาพของรัฐบาลที่มีเข้ามาโดยไม่คาดฝัน ซึ่งผมคิดว่ารัฐบาลคงดูแลได้ไม่ทั่วถึง

ถ้ามีการระบาดโควิด-19 ระดับสามในเมืองไทย ขอคนไทยอย่าได้ Panic ตื่นตระหนก

ขอให้คิดย้อนกลับว่า ในอเมริกาทุกปีจนถึงปีที่แล้ว CDC (Centers for Disease Control and Prevention) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งอเมริกา บอกว่ามีคนเป็นไข้หวัดใหญ่ 19 ล้านคน ตายไป 14,000 คน เท่ากับ 0.7% ในอเมริกาจึงไม่มีใครกลัวไข้หวัดใหญ่ ถือเป็นโรคประจำฤดูกาล CDC ยังคาดอีกว่า ปี 2020 จะมีคนอเมริกันป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ 21 ล้านคน

หันมามองโควิด-19 ในจีนเมื่อ 7 มีนาคม 2020 ป่วย 80,651 คน ตาย 3,070 คน เท่ากับ 3.80%

แต่ยอดในจีนนั้นเป็น Tip of Ice Berg หมายถึงยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ จึงทำให้มองดูว่ามียอดคนตายเยอะถึง 3.80% เมื่อเทียบกับยอด 0.7% ในอเมริกา

จีนยังไม่พูดถึงตัวเลขฐานใหญ่ของก้อนน้ำแข็งใต้น้ำ

โดยทั่วไปไวรัสพวกนี้จะมีคนอีก 80% ถึง 90% ที่มีเชื้ออ่อนๆ อยู่ในตัว เรียกว่า Mild Flu ไวรัสอย่างอ่อน ไม่มีอาการ ไม่มีไข้ แต่มีเชื้อโรคในตัว เดินไปเดินมา

จีนยังไม่ได้เอาคนพวกนี้มารวม

ซึ่งคงจะมีหลายสิบล้านคนเหมือนในอเมริกา

ถ้าเอามารวม อาจจะมองว่ามีคนป่วยโควิด-19 ในจีนเยอะน่าตกใจ เป็นหลายสิบล้านคน แต่เมื่อเทียบคนตายแล้วจะเหลือเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยนิดเดียว คงเพียงแค่ 0.3%

จะได้หาย Panic เปลี่ยนจาก Mind Flu ไวรัสทางจิตใจ มาเป็น Mild Flu ไวรัสอ่อนๆ เสียที