‘บิ๊กตู่’ โต้ปมใช้ ม.44 ยันไม่เคยละเมิดสิทธิใคร ลั่นจะมีเสรีภาพไร้ขีดจำกัดไม่ได้

เมื่อวันที่ 25 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว. กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงฝ่ายค้านกรณีปัญหาเศรษฐกิจและการบังคับใช้มาตรา 44 ตอนหนึ่งว่า ในเรื่องของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ขอย้ำอีกครั้งว่าเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้ทุกคนมีรายได้ สามารถซื้อของใช้จำเป็นและไม่ใช่ซื้อเฉพาะร้านธงฟ้าเท่านั้น มีการปลดล็อกร้านค้าโชว์ห่วย ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ด้วย ในอดีตร้านค้าเหล่านี้ขายสินค้าได้น้อยจนต้องปิดกิจการไป แต่เมื่อโครงการนี้เกิดขึ้นร้านค้าโชว์ห่วยเล็กๆ ที่เข้าร่วมโครงการก็สามารถขายสินค้าได้เพิ่มเติม

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีร้านธงฟ้าประชารัฐ 86,784 ร้านค้าทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้มีรายได้น้อย 14.6 ล้านคน และการใช้จ่ายผ่านร้านค้า เช่น บิ๊กซี หรือ โลตัส และเซเว่นอีเลฟเว่น มีสัดส่วนต่ำมาก เฉลี่ยเพียง 0.03 % ส่วนมาตรการชิม ช้อป ใช้ ประชาชนได้รับประโยชน์ มีทั้งรายได้หมุนเวียน แรงงาน ค่าจ้าง โดยมีการประเมินข้อมูลถึงวันที่ 26 ม.ค. 2563 ประชาชนได้รับสิทธิรวมทั้งหมด 14 ล้านคน มียอดการใช้สิทธิ 11 ล้านราย มียอดใช้จ่ายทั้งหมด 28,493 ล้านบาท มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการนี้ทั้งหมดกว่า 176,000 ร้าน

นายกฯ กล่าวอีกว่า ข้อกล่าวหาว่าเศรษฐกิจถดถอยสาเหตุเพราะจีนเปิดร้านค้าออนไลน์เสรี ทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีขาดทุน ร้านค้าไม่สามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้ เรื่องเหล่านี้ตนเคยชี้แจงไปแล้วว่าการจะให้ธุรกิจอยู่รอดได้ทุกคนจะต้องมีการปรับเปลี่ยน รัฐบาลก็มีแนวทางในการอบรมให้การเรียนรู้แต่ถ้าไม่เข้ามาพัฒนาร่วมกันก็ไปไม่ได้

“ถ้าให้อย่างเดิม คือช่วยทุกอย่างก็จะเหมือนอย่างที่ท่านพูด คือยาชาหรือเป็นยาพิษด้วยซ้ำไป ดังนั้นเราต้องร่วมมือพัฒนาร่วมกันด้วยการปฏิรูป โดยเฉพาะต้องพัฒนาเป็นร้านค้าออนไลน์ให้มากขึ้น ทั้งสหกรณ์วิสาหกิจชุมชนแม้รัฐบาลจะมีกองทุนต่างๆ แต่ยังไปไม่ทั่วถึง ที่ผ่านมายังทำได้ไม่ครบถ้วนและสิ่งที่พูดมา ผมพยายามที่จะฟังและจดทุกเรื่องแต่ก็ตอบไม่ไหว อย่างเรื่องของอ้อยที่ระบุว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุน เดี๋ยวจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจง”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องการใช้มาตรา 44 วันนี้เราเลิกใช้ไปนานแล้วเกือบปีและหลายอย่างได้ยกเลิกไป แต่หลายอย่างเป็นกฎหมายสำคัญตรงไหนที่ยังใช้ประโยชน์อยู่ก็ทำไป ส่วนการไล่ประชาชนออกนอกพื้นที่ ยืนยันว่าไม่ได้ไล่ออกทั้งหมดเว้นแต่พื้นที่ป่า อุทยาน รวมทั้งเรื่องของเสรีภาพ

“ยืนยันว่าผมไม่เคยไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของใคร เว้นแต่บางช่วงเวลามีความจำเป็นอย่างเช่นช่วงแรกๆ ที่เข้ามาก็มีความจำเป็น ทุกคนก็เห็นอยู่แล้วว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้น ที่ไหน อย่างไร เรามีบทเรียนอยู่แล้ว จะให้มีเสรีภาพแบบไร้ขีดจำกัดมันไม่ได้ ต้องคำนึงถึงกฎหมาย เราจะดูเพียงรัฐธรรมนูญฉบับเดียวไม่ได้ จะต้องดูกฎหมายลูกกฎหมายประกอบ อีกหลายพันฉบับ สิทธิเสรีภาพการชุมนุมเสรีภาพจะต้องไม่ไปกระทบกับผู้อื่นรวมทั้งปัญหาการจราจร การทุจริต ทำให้เกิดความแตกแยก เรามีกฎหมายทุกฉบับ ขอความกรุณาให้ระมัดระวังด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ที่ถามว่าทำไมคนรวยถึงรวยขึ้นประกอบกิจการถูกกฎหมายหรือไม่ ยืนยันว่าถ้าทำผิดกฎหมายแม้แต่นิดเดียว รัฐบาลก็ไม่สนับสนุน ไม่ยอม ไม่ให้ ตนสั่งใครไม่ได้ รับผิดชอบไม่ได้ เป็นการอนุมัติจากคณะกรรมการหลายๆ ส่วน ถ้าตนเป็นคนแบบนั้นคงอยู่ไม่ได้แบบนี้ ตนยืนยันตัวเองได้ รวมถึงครม.และข้าราชการ ส่วนในเรื่องภาษี ตนไม่ต้องการไปรีดภาษีกับประชาชน แต่ต้องมีการปรับปรุงระบบภาษี ใครไม่ถึงเกณฑ์ก็ไม่ต้องเสีย และตนไม่เคยบอกว่าประชาชนไม่เคยเสียภาษี อย่างไรก็ตาม งบประมาณท้องถิ่นที่มาจากภาษีมีเพียง 1 แสนล้านบาท แต่ใช้จริงถึง 4 แสนล้านบาท รัฐต้องชดเชย 3 แสนล้านบาท ถึงต้องมีการพัฒนาระบบภาษีต่อไป

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนได้ลงพื้นที่พบปะประชาชนที่เยาวราช ได้พบเศรษฐีคนรวย เป็นเจ้าของกิจการ เมื่อก่อนก็ไม่ได้รวยแบบนี้ มาจากเมืองจีน เสื่อผืนหมอนใบ เขาขอบคุณคนไทยที่ให้ที่อาศัย ทำให้มีกำลังใจในการทำงาน มีรายได้มากขึ้นๆ ต่างจากคนไทยที่จนลงๆ ดังนั้น คนไทยต้องตื่นรู้ กระตุ้นตัวเขา ซึ่งการแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำ ต้องแก้ด้วยกลไกและกฎหมาย และที่บอกให้ตนใช้อำนาจนั้น ตนก็ไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น

อย่างไรก็ตาม นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ประท้วง พล.อ.ประยุทธ์ หากพูดตามเอกสารก็ขอให้พิมพ์แจกให้ประชาชนดูไปเลย และขอให้ตอบตรงประเด็น โดยนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ได้ตัดบทว่า ไม่มีเหตุผลในการประท้วง นายกฯ ตอบในประเด็นที่ถูกอภิปราย ทั้งนี้ นายกฯ กล่าวว่า ตนจดสิ่งที่ฝ่ายค้านอภิปรายทั้งหมด ถ้าให้พิมพ์แจกคงอ่านลายมือตนไม่ออก

นายกฯ กล่าวว่า ตนเข้าใจว่าทุกคนมีความหวังดี ถ้าสามารถนำมาผสมกันได้ ช่วยกันคลี่คลายจะเดินหน้าไปได้ ไม่ใช่มาบอกมาวันก่อนดีกว่าวันนี้ มันจะไปต่อไม่ได้ และการที่ทุกคนหวังดีกับประเทศ ต้องร่วมมือกันดีกว่าหวังผลในทางการเมืองอย่างเดียว ต้องช่วยกัน ไม่ใช่ทำให้ประเทศเกิดปัญหาไปเรื่อยๆ