หลังเลนส์ในดงลึก/ปริญญากร วรวรรณ / ‘หลังเขา’

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ
ลิงบาบูน - พวกมันใช้ช่วงเวลาบ่ายพักผ่อน โดยไต่ขึ้นที่สูง นั่งชมวิว

หลังเลนส์ในดงลึก/ปริญญากร วรวรรณ

‘หลังเขา’

 

ตั้งแต่โลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอล

ดูเหมือนคำว่า หลังเขา อันหมายความถึง กลุ่มคนซึ่งอาศัยอยู่ไกลจากเมือง ใช้ชีวิตอย่างล้าหลัง ไม่ได้รับรู้ข่าวสาร รวมทั้งความเป็นไปในเมือง จะค่อยๆ จางหายไปแล้ว

ไม่มีใครอยู่ “หลังเขา” อีกต่อไป

ทุกวันนี้ แทบจะไม่มีหมู่บ้านใดที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณอินเตอร์เน็ต จานดาวเทียม รับสัญญาณโทรทัศน์ ไม่ว่าหมู่บ้านหรือชุมชนนั้นจะอยู่ไกล ลึกลับ เส้นทางสัญจรออกมาสู่โลกภายนอกยาก ทุรกันดารแค่ไหน

หลายครั้งที่ผมออกจากป่าเพื่อเข้าไปในหมู่บ้าน นอกจากจะพบว่า ไม่มีใครอยู่หลังเขาแล้ว

ความเป็นจริงนี้ ก็ทำให้ผมรู้ว่า คนอยู่ “หลังเขา” แท้จริงคือผู้ใด…

 

เสอะ เป็นชื่อของผู้ชายชาวกะเหรี่ยง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านจะแก วัย 50 กลางๆ

บ้านจะแก เป็นชุมชนขนาดใหญ่ ตั้งมานานนับร้อยปี อยู่มาก่อนพื้นที่จะถูกประกาศให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

หมู่บ้านถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ แต่คนที่อยู่ในหมู่บ้าน ยังได้ใช้ชีวิตไปตามวิถี

อาศัยอยู่ร่วมกับป่าอย่างพึ่งพา เคารพ และเข้าใจในผืนดินที่อยู่

การทำไร่หมุนเวียนของคนในหมู่บ้านคือตัวอย่างหนึ่ง อันทำให้เห็นว่า การอยู่ร่วมกับป่านั้น พอทำได้

ไร่หมุนเวียน ไม่ใช่ไร่เลื่อนลอย

หลังจากใช้พื้นที่แล้ว พวกเขาจะทิ้งไว้ 7-8 ปี กระทั่งพื้นที่ฟื้นกลับคืน

ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะทำให้หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ความต้องการของคนมีมากขึ้น

การกระทบกระทั่งระหว่าง “ชาวบ้าน” กับ “ป่าไม้” เกิดขึ้นบ้าง

แต่ผู้นำรุ่นใหม่ๆ ในหมู่บ้านก็ให้ลูกบ้านยึดถือแนวทางการอยู่ร่วมกับป่าแบบดั้งเดิม อย่างเคร่งครัด…

 

ผมพบกับเสอะที่หมู่บ้านทิไล่ป้า ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านจะแก ราว 30 กิโลเมตร แต่เป็น 30 กิโลเมตรที่ต้องใช้เวลาเดินทางไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง แม้เป็นในช่วงแล้งๆ

เส้นทางไต่ขึ้น-ลงหุบ ร่องลึกๆ ในทางราบ

หากเป็นช่วงฝน เวลาที่ใช้จะมากขึ้นอีกหลายเท่า

ทิไล่ป้า มีหน่วยพิทักษ์ป่าที่ตั้งอยู่ติดชายแดน ผมร่วมมากับทีมสำรวจ ความหลากหลายของชนิดพันธุ์สัตว์ เราใช้เวลาอยู่ที่นี่หลายวัน

เช้าวันนั้น เสอะมายืนดักรออยู่หน้าหน่วยพิทักษ์ป่าตั้งแต่เช้า

ข่าวว่า เราจะเดินทางไปหมู่บ้านจะแกเช้านี้แพร่ไปทั่ว

เสอะกับเพื่อนๆ หลายคนต้อนวัวไปขายที่หมู่บ้านสะเน่พ่อง เมื่อหลายวันก่อน

หลังขายวัวเสร็จ คนอื่นเดินทางต่อไปอำเภอสังขละบุรี ส่วนเสอะกับเพื่อนอีกคนเดินกลับหมู่บ้าน

เขาหยุดพักที่ทิไล่ป้า เมื่อรู้ว่าจะมีรถไปจะแก จึงมารอตั้งแต่เช้า

นอกจากเสอะแล้ว ยังมีคนในหมู่บ้านอีก 4 คน พร้อมสัมภาระจำนวนหนึ่งรอที่จะโดยสารไปด้วย

เดินทางในป่า เราต้องรับคนระหว่างทาง คือเรื่องปกติ

บนกระบะจึงอัดแน่น มีทั้งอุปกรณ์ทำงานของเรา กล่องเสบียง ถุงต่างๆ

หลายครั้งที่เป็นพระหลายรูป มีเด็กๆ คนแก่

แม้ว่ารถจะหนัก แต่มันก็ทำให้นิ่มนวลขึ้น ข้อสำคัญ มีคนช่วยเข็นรถขึ้นจากหล่มอีกหลายคน

ในช่วงฝนหนักนั้น พวกเขาไม่ขึ้นรถหรอก เพราะเสียเวลามากกว่าเดิน

แต่ในช่วงพอไปได้แบบนี้ การโดยสารรถไป ทุ่นเวลาไปมาก

 

ภาพลักษณ์เสอะเป็นแบบดั้งเดิม สวมโสร่งสีคล้ำๆ เสื้อเชิ้ตแขนสั้น สีซีด ผมยาว มัดเป็นมวย สะพายย่าม

ในย่ามที่เดาไม่ออกว่า เคยเป็นสีอะไรนี้ มีสัมภาระเต็ม

“เงินที่ขายวัวได้ แน่นอยู่ในย่ามนั่นแหละครับ” มานะ เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่า ไปจะแกกับเรา แอบกระซิบ

ใบกระโดนตากแห้ง ที่ผู้โดยสารใช้มวนยาเส้นสูบ พ่นควันโขมง ส่งกลิ่นหอม

ผมขับรถอย่างระวัง ค่อยๆ ลงร่อง บีบแตรเตือนเมื่อรถมุดเข้าที่รกๆ พวกเขาจะได้ก้มหมอบ หลบกิ่งไม้หรือหนามทัน

จากหมู่บ้านทิไล่ป้า ผ่านไปครึ่งวัน เราเพิ่งมาได้ครึ่งทาง

 

หน่วยลังกาเป็นหน่วยพิทักษ์ป่าชั่วคราว เราหยุดพักกินข้าวกลางวัน

บริเวณหน่วยร่มรื่น อยู่ริมห้วย มีเจ้าหน้าที่สองคน คนอื่นไปเดินลาดตระเวน

ทุกคนแยกย้ายไปโน่นนี่ และนำห่อข้าวมาเริ่มต้นกิน นอกจากเสอะ

ผมเรียกเสอะมาร่วมวง เขาไม่ปฏิเสธ

ก่อนเริ่มต้นกิน เสอะใช้สองมือจับจานหลับตา ปากพึมพำอยู่ชั่วครู่ จึงตักข้าวเข้าปาก

“สวดอะไรเหรอครับ” ผมชวนคุย

“เราขอบคุณพระเจ้า” เสอะตอบ และพูดต่อ

“ขอบคุณที่มอบอาหารมื้อนี้ให้” เสอะตักข้าวอีกคำ

“หม่องโจล่ะ สวดอะไร เห็นทำเหมือนกัน” เสอะถามบ้าง

“เรียกเจ้าที่เจ้าทาง และพ่อ ที่ไม่อยู่แล้วให้มากินข้าวด้วยกัน” ผมตอบ

“เราไม่นับถือผี เราเป็นคริสต์” เสอะพูดเรียบๆ

 

เราถึงหมู่บ้านจะแกตอนพลบค่ำ

เสอะชวนกินข้าวที่บ้าน ผมไม่ปฏิเสธ

บ้านเสอะรูปทรงเดิม ส่วนประกอบส่วนใหญ่ใช้ไม้ไผ่

ลูกๆ หลายคนไล่เรียงอายุกันมา ผมนั่งล้อมวงกินข้าวกับสมาชิกในครอบครัวเสอะ

เสอะนั่งติดกับผม มองจากภายนอก เราไม่เหมือนกันหรอก

แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะต่างกัน

 

ก่อนกิน เสอะและทุกคนในครอบครัวขอบคุณพระเจ้า

เสอะมองยิ้มๆ เมื่อเห็นผมเรียกเจ้าที่มาร่วมกิน

ผมยิ้มตอบ ยิ้มอย่างยอมรับว่า

คนที่อยู่ “หลังเขา” แท้จริงคือใคร