จุดต่ำสุดของชีวิต “สรยุทธ” ชายที่เรียกตัวเองว่า “กรรมกรข่าว” ยิ่งสู้ยิ่งแพ้ แต่ก็ต้องสู้

“ผมติดคุกสังคมมา 4 ปีแล้ว ตลอด 4 ปีของการต่อสู้คดีก็ไม่เคยมีความสุขเลยแม้แต่วันเดียว ความรู้สึกเสมือนยิ่งสู้ยิ่งแพ้ แต่ก็ต้องสู้”

ข้อความตัดพ้อดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งจากความในใจของ “นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา” อดีตนักเล่าข่าวชื่อดังของเมืองไทย ที่แอดมินเพจ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว” โพสต์ข้อความบอกเล่าความรู้สึกของ “สรยุทธ” หลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำคุกนายสรยุทธเป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน ในคดีบริษัทไร่ส้มโกงเงินค่าโฆษณา ช่อง 9 อสมท

“คุกสังคม” ในความหมายของนายสรยุทธ ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อน เป็นวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกนายสรยุทธเป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ฐานสนับสนุนให้พนักงานในองค์กรของรัฐโกงค่าโฆษณา อสมท จากรายการคุยคุ้ยข่าวกว่า 138 ล้านบาท

จากนั้นสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย รวมถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม ได้เรียกร้องให้ช่อง 3 ยุติบทบาทของนายสรยุทธ จนกว่าคดีจะสิ้นสุด เพื่อสร้างบรรทัดฐานด้านจริยธรรมให้วงการสื่อ

วันที่ 3 มีนาคม 2559 นายสรยุทธจึงได้โพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรม ขอยุติการทำหน้าที่พิธีกรในรายการข่าวทั้งหมด ปีต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืน คงจำคุกนายสรยุทธเป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน

แต่นายสรยุทธก็สู้ไม่ถอย ยื่นขอฎีกาต่อสู้คดีจนถึงที่สุด

สุดท้ายวันชี้ชะตาชีวิตก็มาถึง ช่วงเช้าของวันที่ 21 มกราคม 2563 นายสรยุทธเดินทางมาถึงศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางเพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกาตามนัดตั้งแต่ช่วงเช้าด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย และไม่ได้หันมาพูดคุยใดๆ กับสื่อมวลชนจำนวนมากที่มารออยู่ด้านหน้าศาล

จนกระทั่งถึงเวลาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา บรรยากาศภายในห้องพิจารณาคดีพบว่ามีเพื่อนๆ อาทิ น.ส.พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ หรือไบรท์, นายภาษิต อภิญญาวาท หรือไก่ พิธีกรรายการข่าวชื่อดัง, นายเจริญพร อ่อนละม้าย หรือโก๊ะตี๋ อารามบอย และผู้บริหารจากช่อง 3 ร่วมฟังคำพิพากษาจนเต็มห้องพิจารณาคดี

ศาลใช้เวลาบรรยายคำฟ้อง ฃและอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาประมาณ 45 นาที ก่อนมีคำพิพากษาให้จำคุกนายสรยุทธเป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน

ส่วนที่นายสรยุทธฎีกาว่าไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน และเคยทำคุณงามความดี ขอให้ศาลลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษ

ศาลระบุว่า นายสรยุทธเป็นสื่อมวลชนอาวุโส และเป็นที่นับหน้าถือตาของบุคคลทั่วไป ต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สื่อมวลชนอื่น กลับอาศัยโอกาสช่องว่างทางกฎหมายและระเบียบปฏิบัติเอื้อประโยชน์แก่ตนมากระทำผิดเสียเอง ตามพฤติการณ์กระทำผิดจึงไม่เพียงพอให้รับฟังเพื่อลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษจำคุก

เมื่อศาลพิพากษาแล้วเสร็จ เพื่อนบางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เมื่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะคุมตัวนายสรยุทธและจำเลยร่วมในคดีลงไปยังห้องคุมขังบริเวณชั้น 1 เพื่อรอขึ้นรถส่งไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

จากนั้นแอดมินเพจเฟซบุ๊ก “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว” ก็ได้เผยแพร่ข้อความระบุว่า “ความในใจจากพี่ยุทธ ก่อนฟังคำพิพากษา” โดยข้อความที่โพสต์มีเนื้อหายอมรับการตัดสินของศาลแม้จะไร้อิสรภาพ ก็ไม่เคยคิดหลบหนีคดี

“ผมยอมรับคำพิพากษาโดยไม่เคยคิดว่าจะหลบหนี เพราะนั่นจะเท่ากับผมไม่เคารพกระบวนการของกฎหมายบ้านเมืองที่ผมเกิดและเติบโตมา แน่นอนว่าผมย่อมกลัวการติดคุกติดตะราง แต่ชีวิตผมไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่ได้สุขสบาย ไม่เคยลำบากตรากตรำ จนจะไปใช้ชีวิตในเรือนจำไม่ได้ หรืออยู่ลำบากไม่ได้”

ข้อความดังกล่าวยังระบุถึงชีวิตในวงการข่าวของนายสรยุทธที่ทำงานมาตลอด 30 ปี ไม่เคยมีวันหยุด ไม่เคยนอนหลับได้เต็มอิ่ม เมื่อถูกศาลพิพากษาจำคุกต้องหยุดทำงานที่ตนเองรัก ทำให้รู้สึกทุกข์ทรมานจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้

“กุมภาพันธ์ปี 2559 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาผม และผมต้องหยุดทำงานที่ผมเคยทำมาทุกวัน ทั้งที่ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด ใครไม่เป็นผมคงไม่รู้ว่ามันทุกข์ทรมานขนาดไหนกับการต้องตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตของผมอย่างที่เคย ช่วงนั้นผมไม่กล้าแม้กระทั่งเปิดโทรทัศน์ อย่าว่าแต่รายการที่ตัวเองเคยทำ เพราะถ้าต้องเห็นสิ่งที่ผมรักและเคยทำมาตลอด มันจะหยุดน้ำตาของตัวเองไม่ได้ ผมทำได้อย่างเดียวคือ พยายามลืมชีวิตที่เคยเป็นมา”

“สำหรับผม การต้องหยุดทำงาน เหตุเพราะคำพิพากษาของสังคม คือความทุกข์ทรมานที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิต เพราะคือการห้ามผมใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่การห้ามผมทำอาชีพของผม อิสรภาพในการใช้ชีวิตของผมหมดไปตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อนแล้ว ผมติดคุกสังคมมา 4 ปีแล้ว ตลอด 4 ปีของการต่อสู้คดีก็ไม่เคยมีความสุขเลยแม้แต่วันเดียว ความรู้สึกเสมือนยิ่งสู้ยิ่งแพ้ แต่ก็ต้องสู้”

นอกจากนี้ นายสรยุทธยังระบุว่า ไม่รู้จะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะทำใจได้ และตอนนี้เดินทางมาถึงจุดต่ำสุดของชีวิตแล้ว

“วันนี้ผมคงติดคุกตามคำพิพากษาของศาลสูงสุด ความยากลำบากเดียวคือทำใจ ซึ่งผมยังไม่รู้ว่าจะทำได้ขนาดไหน จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ที่จะทำความคุ้นเคยกับมัน แต่ที่สุดผมก็ต้องยอมรับให้ได้ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป อย่างน้อยวันนี้ชีวิตผมก็จะได้เริ่มต้นใหม่เสียที แม้จะต้องเริ่มต้นจากติดลบ อยู่ในคุกตะรางจุดต่ำสุดของชีวิตแต่ก็ได้เริ่มต้น ซึ่งมันจะมีวันหนึ่ง ในที่สุดที่จะได้นับหนึ่งใหม่ ขอบคุณทุกคนที่เจอกันก็เข้ามาจับมือให้กำลังใจ ไม่ได้เจอกันก็ส่งกำลังใจมาให้ จนกว่าจะมีโอกาสพบกันใหม่ครับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา 21 มกราคม 2563”

โพสต์ข้อความในใจของนายสรยุทธ มีผู้เข้ามากดถูกใจกว่า 55,000 คน แชร์ต่อกว่า 3,900 ครั้ง และแสดงความคิดเห็นกว่า 8,600 รายการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการให้กำลังใจ และรอชมผลงานในวันที่นายสรยุทธได้รับอิสรภาพ

สําหรับนายสรยุทธ จบการศึกษาเมื่อปี 2530 จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ นิเทศศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) มีจุดเริ่มต้นในวงการสื่อมวลชนจากการเป็นนักข่าวสังกัดหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นตั้งแต่ปี 2531 ก่อนขยับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าข่าวการเมือง, หัวหน้าข่าวการเมือง, บรรณาธิการข่าว เริ่มจัดรายการวิเคราะห์ข่าวทั้งที่เนชั่นและไอทีวี

จากนั้นนายสรยุทธได้ลาออกจากเดอะเนชั่น ไปร่วมบริหารและผลิตรายการกับทางช่อง 3 จัดรายการข่าวยอดนิยมอย่างรายการเรื่องเล่าเช้านี้ และได้รับโอกาสทำรายการ “คุยคุ้ยข่าว” กับทางช่อง 9 อสมท ร่วมกับ “กนก รัตน์วงศ์สกุล” พร้อมจัดตั้งบริษัท ไร่ส้ม จำกัด

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่นายสรยุทธสะสมประสบการณ์การทำงานข่าว จนกลายเป็นนักเล่าข่าวที่มีชื่อเสียงโด่งดังและทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย จนเกิดแฮชแท็ก “แชร์เรื่องนี้ให้ถึงสรยุทธ”

เนื่องจากนายสรยุทธมีลีลาการเล่าข่าวที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง มีลีลาการถามอย่างถึงลูกถึงคน และรับเรื่องราวร้องทุกข์จากชาวบ้าน ทำให้มีประชาชนติดตามและชื่นชอบเป็นจำนวนมาก

ณ วันนี้ ถือเป็นการปิดตำนานนักเล่าข่าวผู้ทรงอิทธิพล ที่สะท้อนให้เห็นความไม่แน่นอน จากจุดสูงสุดสู่จุดต่ำสุดของชีวิต กับชายที่ชื่อว่า “สรยุทธ สุทัศนะจินดา”