การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ นั่นคือเหตุผลไร้สาระฉิ-บหาย

อัมพรสำลักเสียงสะอึกออกมาสองสามครั้ง พร้อมกับร่างกระตุกอยู่อีกชั่วครู่ ก่อนจะเอนตัวลงบนขอบเตียงอย่างสิ้นแรง

หล่อนเข้าไปใกล้ฟูกนอนตอนไหน นั่นคือสิ่งที่ฉันไม่ทันเห็น แต่การที่งูพิษขึ้นไปนั่งบนขอบเตียงนั่น ฉันควรจะรู้ว่าหล่อนตั้งใจ

แล้วยังไง…มันก็คือความพอใจของหล่อน และความพอใจของใครอีกคนนั่น

เกี่ยวกับฉันไหม

อาจใช่และไม่

เพราะเหตุใดน่ะหรือ

เพราะเราต่างคือสิ่งมีชีวิตที่พากันวนว่ายอยู่ในนรก

 

“จันทร์เสี้ยวรู้อะไรมั้ย พี่ก็ลำบากมามากนะ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้…เพราะความไม่มีวุฒิ ไม่มีทุน พ่อแม่ก็ใช่จะมีเงิน กว่าจะขึ้นมาทำงานได้เงินเดือนเป็นพันยังงี้ ไม่ใช่ของง่ายเลยจริงๆ”

“แต่พี่ก็เก่งนะ”

“ฮื่อ ใครๆ ก็พูดแบบนั้น แล้วพี่ว่ามันก็เป็นความจริงนั่นแหละ ก็ถ้าพี่ไม่เก่ง จะมีวันนี้เหรอ มีรถยนต์ขี่ มีสตางค์จ่ายค่าเช่าห้องแพงๆ”

“พี่อยากมีบ้านบ้างมั้ย”

“อยากสิ พี่ก็อยากมีบ้านของตัวเองสักหลัง จะปูกระเบื้องให้มันงามๆ เอาหลังคาสีฟ้าให้เด่น เห็นตั้งแต่สามแยกโน่น”

“พี่จะปลูกบ้านที่ไหน”

“…ก็ยังไม่รู้หรอก ถ้ามีที่ดิน จะตรงไหนก็ได้…ใจพี่ก็อยากกลับไปปลูกที่บ้านเก่าพ่อ-แม่ แต่ตอนนี้ที่ก็ติดหนี้อยู่ เขาจะมายึดไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะให้ไปไถ่เอาก็ไม่มีปัญญา”

“ติดอยู่เยอะเหรอพี่”

“เยอะ” พี่ชุนแค่นยิ้ม “ทบต้นทบดอกจนไม่รู้จะใช้หมดได้ยังไงในชาตินี้ คนเขาถึงว่า ถ้ายอมขาย _ี เสียสักทีก็ปลดหนี้ได้ แต่พี่ทำไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้”

“…”

“ให้ไปเอากับผู้ชาย ตายเสียดีกว่า”

 

“ขอกูมีเงินบ้างเทอะ จะเลิกเป็นแล้วคนใช้เขา…นี่อีพ่อมันว่าสะแม้งที่เอว หาหมอก็ไม่หาย มีหนังขายยามาฉาย ซื้อยากินก็ดีขึ้น แต่เดี๋ยวก็กลับมาเป็นอีก”

“ตกลงก็ไข้ทั้งพ่อทั้งแม่ซี”

“อือ ก็ยังงั้นแหละ กูถึงต้องมาทำงานอยู่นี่ ได้ใบแดงส่งไปให้ซื้อยา ซื้อวิตามิน”

“เธอส่งเดือนละเท่าไหร่”

“เมื่อก่อนสามร้อย แต่หลังๆ มานี้ก็ทีละห้าร้อย กูได้อยู่หกร้อย เก็บเองร้อยห้าสิบ จะไว้ไปกรุงเทพฯ”

“จะไปกรุงเทพฯ เชียว”

“เออ กูจะไปทะเล มึงเคยเห็นทะเลหรือยังล่ะ”

“จะเคยได้ยังไงเล่า”

“กูก็ไม่เคย แต่แฟนกูเล่าให้ฟัง มันว่าคลื่นนะค้าวขาว ซู้งสูง…ถ้ากูได้ไปทะเล จะกินปลาหมึกให้หนำเลยแหละ ปลาดาวกูก็จะกิน”

“มันกินได้ด้วยรึ”

“กินได้ แฟนกูมันบอก จะพาไปกินปลาดาว ไปกินม้าน้ำ”

“ม้าน้ำ?”

“เออ มันว่าเขาเอาไปตากแห้งแล้วต้มใส่ยาจีน ตอนพูดกันมีกูไม่เคยกินอยู่คนเดียว นึกแล้วก็อาย กูว่าถ้ามีวาสนาคงได้กิน มันก็ไค่หัวกันทั้งหมู่”

“ใคร”

“หมู่เพื่อนของแฟนกู มีหล่อๆ อีกหลายคนนะ ถ้ามึงสนใจกูจะบอกให้”

“ไม่ต้อง ยังไม่อยากหาเหาใส่หัว”

“หาผัว ไม่ใช่หาเหา มึงนี่ยังไง”

“เออ จะผัวหรือเหาก็ไม่อยากมี”

“เอาผัวม่วนนะมึง”

อัมพรเคยยักคิ้วใส่ฉัน

 

“เจ้าของบ้านไปไหนนะอีพร”

พี่โฟเคยกระดกแก้วน้ำเย็นเข้าปาก เอ่ยถามอัมพร

“ไปทำงาน เขาเป็นจ่าศาล เดี๋ยวสักพักก็กลับ”

“อ้อ งั้นเดี๋ยวกูรีบออก อยู่ไม่นานหรอก”

“ไม่เป็นไร้ สิบซาวนาทีก่อนก็ได้…เอ้า พี่โฟ ไม่รู้จะเอาอะไรรับต้อน เอาส้มไปกิน”

“โอ้ย อีพร มึงไม่ต้องพิธีกับกู แล้วเขาให้เงินมึงดีไหม”

“ก็งั้นๆ แหละ อาศัยว่าอยู่สบาย แล้วเบิกล่วงหน้าเป็นก้อนได้บ้าง ใจฉันนะพี่โฟ อยากไปอยู่ทางข้างในนู้น”

“ในไหน”

“บ้านพักผู้พิพากษา”

อัมพรว่า แล้วก็เดินนำพี่โฟไปยังห้องรับแขกที่ก็เป็นห้องนั่งเล่นกลายๆ พี่โฟเดินตามเข้าไป นั่งลงบนเก้าอี้ตัวสั้นอีกฟาก

ฉันเก้กังมองดูคนทั้งสอง ยังจำข้อห้ามหนึ่งในบ้านที่อัมพรสอนไว้

“มึงอย่านั่งบนโซฟานะอีพี่”

“ทำไมหรืออัมพร”

“นั่งไม่ได้ เก้าอี้หน้าบ้านนั่งได้ แต่ในบ้านห้าม”

“อ้าว แล้วถ้าเมื่อยจะให้นั่งตรงไหน”

“มึงไม่ว่างเมื่อยหรอก ถ้าจะพักค่อยพักตอนเขาไม่อยู่”

“แล้วถ้าเขาไม่อยู่เรานั่งได้มั้ย”

“มึงนี่โง่จริงๆ”

 

“อีหน้อย…อีหน้อย”

“อะไรหรือลุง”

“อีพ่อจะพูดกับนายอำเภอ ต้องไปทางไหน”

“ทางโน้นมั้ง ลุงไปถามเอาซี”

“ทางนั้นเคยถามแล้ว เขาก็ว่าให้พบไม่ได้ มาทีไรนายอำเภอก็ไม่เคยอยู่”

“งั้นลุงก็ไปหานายอำเภอที่ห้องสิ”

“ห้องไหนล่ะ”

“ลุงก็หาอ่านป้ายเอา”

“อีหน้อยเอ๋ย อีพ่ออ่านไม่ออก รู้แต่ตัวเมือง ตัวไทยอ่านไม่ได้”

“มีอะไรกันหรือ”

จ่าศาลปิดแฟ้มเอกสาร เงยหน้ามาเห็นพอดี ชายแก่รีบยกมือไหว้ปลกๆ

“ขอสูมาเถอะครับ ผมอยากปะนายอำเภอสักหน”

“ลุงจะพบท่านทำไม”

“ผมจะมาร้องนายอำเภอ ให้ช่วยตามหาลูกครับ”

“อ้าว แล้วลูกลุงไปไหน”

“ไปทำงานในเชียงใหม่ครับ”

“ทำที่ไหนล่ะ เขาไม่กลับบ้านเลยหรือยังไง”

“ไม่กลับครับ ผมไปตามถามมาก็ไม่มีใครรู้ใครเห็น บ้านที่ว่ามันไปทำงาน ผมฝากคนไปถาม เขาก็ว่ามันออกไปแล้ว”

“เขาไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า ผู้หญิงผู้ชาย มีแฟนหรือยัง ไปอยู่กับแฟนเสียละกระมัง”

“ไม่ใช่ครับ มันเป็นลูกหล้า แม่ญิงครับ พี่น้องคนอื่นก็มาตายหมด เหลือมันคนเดียว เขามาชวนให้ไปทำงานจะได้ส่งเงินมาเลี้ยงพ่อ-แม่ แต่นี่หายแส็บหายสอยไม่มีข่าวคราว มาหนสุดท้ายปีใหม่ปีโน้น…

“…ผมกลัวแต่มันจะไปตาย แต่ถ้าไม่ตายก็อยากให้มาดูใจคนเฒ่า แม่มันกำลังเจ็บอยู่ ไม่รู้จะรอดถึงปีใหม่หรือเปล่า…ไหว้สาเถอะครับ ขอให้ผมได้พูดกับนายอำเภอ อยากให้เขาช่วยสั่งคนเสาะหา”

“ไม่ได้หรอกลุง อย่างนี้ลุงต้องไปแจ้งความที่โรงพัก เป็นหน้าที่ของตำรวจ ไม่ใช่ธุระนายอำเภอ”

“ผมแจ้งจนไม่รู้จะแจ้งยังไงแล้วครับ ตั้งหกเจ็ดปีมาแล้ว วี่แววเท่า _ี แมงกำบี้ก็ไม่มี”

“มีอะไรหรือครับคุณจ่า”

มีผู้ชายอีกคนเดินเข้ามาหา พอรู้เรื่องราวก็ส่ายหน้า

“อย่าเสียเวลาเลยครับจ่า บอกไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก…ลุง นายอำเภอเขาไม่ว่างมารับฟังเรื่องขี้หมูขี้หมาอย่างนี้หรอก”

“ไม่ใช่เรื่องขี้หมูขี้หมา เรื่องลูกสาวผม เรื่องคนแท้ๆ”

“ประเทศนี้คนหายเป็นหมื่น ใครจะว่างตามหาลูกลุงอยู่คนเดียว กลับบ้านไปเถอะ ถ้าตำรวจเขาว่าไม่เจอก็ไม่เจอ มาเที่ยววุ่นวายบนอำเภออย่างนี้ ระวังจะโดนจับขังคอกเสียเอง!”

 

“กูคิดจะทำบ้านสักหลัง”

อัมพรเคย “เหิ่น” ใส่ฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง ทันทีที่ได้ยิน

“โธะโถ อีพี่ ตัวเท่านี้คิดจะทำบ้านเป็นหลัง ผัวก็ยังไม่เอา จะทำการใหญ่เชียวมึง แล้วพี่น้องช่วยกันหรือยังไง ทำบ้านใหม่ให้พ่อแม่รึ”

“เปล่า ทำบ้านของฉันเอง”

“ผัวก็ยังไม่มี มึงจะรีบลงเรือนไปทำไม ทำอะไรขึดบ้านขึดเมือง หาผัวรวยๆ สักคน ให้มันปลูกบ้านหลังคาลอนให้ไม่ดีกว่ารึ”

“กูไม่ได้อยากมีผัว อยากทำบ้านไว้อยู่เอง แล้วก็อยากจะเรียนต่อ”

“มึงมันทะเยอทะยาน พี่มึงคงห่วงเพราะอย่างนี้แหละ”

“มึงอย่าขี้เคียดนักอีพี่ ใช่กูจะไม่เห็นใจ แต่ทะเยอทะยานไปให้ถูกทิศถูกทางเหอะ”

“เธอไม่รู้อย่าพูดเลย อัมพร”

“คนหวังดียังจะหยิ่งอีก อีพี่ กูว่ามึงใช้หัวมากไป เป็นกำกึ้ดให้มันน้อยๆ หน่อย มีอะไรก็ทำไป ตัวน้อยเดียวอย่ามักใหญ่ใฝ่สูงเกิน เป็นหงส์ปีกหักคนจะสมน้ำหน้า”

ฉันเคยกระแทกจานข้าวลง ผุดลุกหนี

“เออ อีหัวไม้ส้าว คิดจะสอยเอาดาวเอาเดือน สุดปลายแขนยังจะยื้ออยู่อีก คนหวังดีแท้ๆ เก่งนักมาเป็นขี้ข้าเขาอยู่ทำไม หน็อย!”

 

หลายครั้ง ฉันก็สงสัยจริงๆ นะว่า การที่คนอย่างเราๆ เกิดมาเพื่อจะว่ายวนอยู่ในแอ่งแคบๆ เกรอะกรังอย่างนี้ เพราะอะไร จากอะไร มันจะเป็นไปได้? หรือจะไม่มีวันเป็นไปได้? ที่จะลืมตาอ้าปากได้อย่างพวกผู้ดีมีเงินทั้งหลาย

แล้วมันจะเป็นไปได้ไหม ที่เราไม่ต้องเป็นข้าทาสใคร ไม่ต้องนั่งพื้นขณะพวกเขานั่งบนโซฟา ไม่ต้องก้มหน้าหวาดกลัวพวกมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ไม่ต้องมาวนว่ายถีบถองแย่งชิง ป่ายปีน แม้ต้องเหยียบหัวกันเอง

ตัวฉันเอง…อัมพร และแม้แต่พี่ชุน ถึงตอนนี้ เราก็ยังทำสิ่งต่างๆ ไร้สาระโง่งมกันอยู่อย่างนี้ มันถูกต้องใช่ไหมล่ะ ที่ฉันจะแก้ไขอีกบางวรรคในบทกวี

 

ข้อเท็จจริง ตัวฉันก็แค่หนึ่งในสัตว์วิ่งวน (ขีดฆ่า)

ข้อเท็จจริง พวกเราก็แค่สัตว์วิ่งวน

สัตว์ที่มีชื่อเรียกว่าคนจน

นั่นคือเหตุผลของการเวียนว่ายอยู่ในนรก (ขีดฆ่า)

นั่นคือเหตุผลไร้สาระฉิ-บหายของการเวียนว่ายอยู่ในนรก