ในประเทศ / จิตหนึ่ง ใจเดียว เพื่อ ‘นาย’

ในประเทศ

จิตหนึ่ง
ใจเดียว
เพื่อ ‘นาย’

“สงสารลูกที่ต้องมาเจอกับเกมการเมือง”
คือเสียงจากนายทวี ไกรคุปต์ บิดาของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)
น.ส.ปารีณา ที่นาทีนี้กลายเป็นนักการเมืองหญิงเด่นดัง
ในฐานะเป็นกำลังสำคัญในทางการเมืองของพรรคพลังประชารัฐ
ที่นอกจากเป็นกำลังส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว
น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ยังทั้งอาสา และทั้งได้รับการผลักดันให้เป็น “กำลัง” สำคัญในการออกไปต่อกรกับพรรคฝ่ายค้านในทางการเมืองอย่างเข้มข้น เอาจริงเอาจัง
โดยเริ่มกับพรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเกาะติดและตามราวีอย่างชนิดต่อเนื่องกับ น.ส.กรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่
ทั้งเรื่องส่วนตัว การเมือง กระทั่งบานปลายไปสู่คดีฟ้องร้องกัน
กลายเป็น ส.ส.หญิงที่มีบทบาทเข้าตาผู้ใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐ และผู้ใหญ่ในรัฐบาล
แน่นอน ล้วนต่างเป็นชายอกสามศอก และบางคนเติบโตมาจากกองทัพ
ต่างพากันผลักดันให้เธอเป็น “หัวหมู่ทะลวงฟัน” เข้าลุยกับคู่อริทางการเมืองอย่างเต็มที่

บทบาทเช่นนี้เองทำให้ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ได้เป็นองค์ประกอบสำคัญภายในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคพลังประชารัฐ
ตรงไหนมีปัญหา มีอุปสรรค ก็ส่งเข้าไปแก้ เข้าไปชน
ซึ่ง น.ส.ปารีณาก็ตอบรับอย่างเต็มอกเต็มใจ
สังคมจึงได้เห็นเธอลุยเข้าไปยังพรรคอนาคตใหม่ ที่ไม่ได้จำกัดวงไว้เฉพาะ น.ส.กรรณิการ์ วานิช
หากแต่ลามไปถึงมารดาของหัวหน้าพรรค อย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ด้วยการเปิดโปงว่า นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ บุกรุกที่ดินสาธารณะ และเรียกคืนที่ดิน 500 ไร่ คืนให้กับชาวบ้าน จ.ราชบุรี
จนทำให้นางสมพรถอยกรูด ประกาศพร้อมคืนที่ดินที่ไม่ถูกต้องให้ชาวบ้าน
สถานะของนางปารีณาเหมือนผู้เล่นบทรุก
ยิ่งเมื่อเดินเข้าไปเป็นกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ของสภาผู้แทนราษฏร พร้อมกับ ส.ส.ดังอย่างนายสิระ เจนจาคะ ยิ่งโดดเด่น
เพราะได้รับภารกิจใหญ่ เข้าไปเพื่อดำเนินการปลดประธานกรรมาธิการ ฐานที่ถูกกล่าวหากระทำการเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มาให้การต่อกรรมาธิการ อย่างพร่ำเพรื่อ มีเป้าหมายทางการเมือง มากกว่าต้องการข้อเท็จจริง
มองในเชิง “ยุทธวิธี” นี่ย่อมเป็นการ “รุก” ทางการเมืองอีกแนวหนึ่ง
ยิ่งทำให้ น.ส.ปารีณายิ่งสกาวแวววาว

กระนั้น
อาจเป็นความผิดพลาดที่ประเมินว่า การขับเคลื่อนจะต้องดำรงไว้เฉพาะการรุก
หรือได้บทเฉพาะ “นางเอก”
โดยลืมไปว่า การต่อสู้ต้องเจอการตอบโต้ หรือรุกกลับจากฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน
เพียงแค่ “วิวาทะในที่ประชุม” ที่ถูกถ่ายทอดออกมาสู่สาธารณะ น.ส.ปารีณาก็ไม่อาจดำรงบทบาทนางเอกเอาไว้เพียงฝ่ายเดียว
หากแต่มีภาพ “นางร้าย” พ่วงมาด้วย
เพราะคู่ต่อสู้ก็ยัดภาพอัปลักษณ์กลับมาที่เธอด้วย
จึงไม่ได้มีแต่ภาพสวย หากแต่มีภาพน่าเกลียดด้วย เช่นกัน ไม่ได้มีแค่บวก หากมีลบด้วย
ยิ่งกว่านั้น การหักโค่นในกรรมาธิการก็มิใช่เรื่องง่าย
อย่างน้อยตำแหน่ง “ประธาน” เป็นโควต้าของฝ่ายค้าน และฝ่ายค้านเห็นชอบร่วมกันมอบให้กับพรรคเสรีรวมไทย
การจะปลดจึงไม่ง่าย และยิ่งมาเจอมวยใหญ่ระดับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เข้าไปด้วย กระบวนการ “รุก” ก็กลายเป็น “ปัญหา” ขึ้นมาทันที
จนด้านหนึ่ง ต้องผลักดันนายไพบูลย์ นิติตะวัน เข้าไปช่วยอีกแรง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะ “หักโค่น” อีกฝ่ายได้หรือไม่
อีกด้าน น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ก็ทำให้เรื่อง “บาน” ออกจากกรรมาธิการ ด้วยการนำเรื่องมาฟ้องนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กลางห้องประชุม
ด้วยหวังจะได้แรงสนับสนุน
แต่กลับเจอภาวะถูกปิดไมค์จากประธานสภา ทำให้ น.ส.ปารีณาเปิดศึกอีกด้าน ด้วยการกระหน่ำเข้าใส่ “ประธานสภา”
การเลเพลาดพาดไปยังบทบาทของ “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” แม้นายชวนดูเหมือนจะไม่เอาความ
แต่ก็กลายเป็นความอ่อนไหวเป็นอย่างสูงในทางการเมือง เมื่อมีองครักษ์พิทักษ์ชวน ซึ่งล้วนเป็นคนประชาธิปัตย์ ออกมาปกป้องประธานสภา
อย่างเผ็ดร้อน และมิได้จำกัดไว้เฉพาะ ส.ส.หญิงเท่านั้น
หากแต่ตั้งคำถามไปถึงพรรคพลังประชารัฐ ว่าได้เอาใจใส่ “หัวหมู่ทะลวงฟัน” ของตัวเองดีเพียงใด
และไฉนปล่อยให้ออกมาปะ ฉะ ดะ คนอื่นอย่างไม่เลือกหน้า
ทำให้กรอบของเรื่องแทนที่จะเป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยเฉพาะตำแหน่งประธาน กลับขยายไปยังประธานสภา ไปยังพรรคประชาธิปัตย์
เท่ากับเป็นการขยาย “แนวรบ”
แนวรบกับพรรคร่วมรัฐบาล อย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น

มิใช่เฉพาะอาการข้างเคียงทางการเมืองข้างต้นเท่านั้น
การปะ ฉะ ดะ ของ น.ส.ปารีณา ก็ทำให้เกิดกรณีที่โด่งดังอย่างที่ทราบกันดี คือเมื่อไปเปิดโปงเรื่องที่ดินของแม่นายธนาธร
น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ก็เจอการเปิดโปงฟาร์มไก่เขาสน หมู่ที่ 6 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ของ น.ส.ปารีณา 1,700 ไร่ ว่าอาจบุกรุกป่าสงวนฯ พื้นที่ ส.ป.ก.
และกลายเป็นเรื่องบานปลาย เมื่อกรมป่าไม้เข้าไปตรวจสอบ
ในเบื้องต้น ตรวจสอบพบมีพื้นที่ป่าไม้ถูก น.ส.ปารีณาบุกรุก 46 ไร่ ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย
ส่วนพื้นที่ ส.ป.ก. พบว่ามีมากกว่า 600 ไร่ ที่ น.ส.ปารีณาอาจมีปัญหา
และยังมีเรื่องปริศนาที่ต้องตรวจสอบกันต่อไป
ด้วยเพราะ น.ส.ปารีณาแจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่ามีที่ดินประมาณ 1,700 ไร่
ที่นั้นอยู่ตรงไหน และทำไมยังตรวจไม่พบ
นี่คือสิ่งที่ต้องตามไล่เบี้ยกันต่อไป
แต่เฉพาะข้อมูลในเบื้องต้น ที่พบการบุกรุกที่ป่า 46 ไร่ และที่ ส.ป.ก. 600 ไร่
น.ส.ปารีณาก็คงต้องเหน็ดเหนื่อยกับการชี้แจง และอาจกลายเป็นผู้ต้องหา ที่ต้องเผชิญคดีป่าไม้ ซึ่งมีโทษปรับและจำคุก อันหนักหนายิ่ง

นี่จึงกลายเป็นชะตากรรมอันพลิกผันของหัวหมู่ทะลวงฟัน อย่าง น.ส.ปารีณา
ซึ่งแม้เธอจะร้องขอความช่วยเหลือรัฐมนตรีในพรรค อย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ที่ดูแลสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)
แม้จะบุกเข้าไปทำเนียบ เพื่อขอให้ “ผู้ใหญ่” ช่วย
แต่ก็ดูเหมือนจะมีเสียงตอบรับเพียงแค่ว่า คงต้องตรวจสอบ และดำเนินการตามกฎหมายหากผิดจริง
ซึ่งก็คงทำให้ น.ส.ปารีณาลดความฮึกเหิม ที่จะเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันฝ่ายตรงข้าม ลงอย่างฮวบฮาบ
เพราะเมื่อเจอเล่นงานกลับ ก็ไม่มีใครช่วยปกป้อง
ด้วยรัฐมนตรีแต่ละคน โดยเฉพาะ ร.อ.ธรรมนัส ไม่อยากติดโผถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเรื่องส่วนตัวก็หนักหนาอยู่แล้ว
การที่จะมาแบก ส.ส.ปารีณาเอาไว้อีก ก็ใช่เรื่อง
ซึ่งก็คงไม่ต่างจากนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ที่สั่งตรวจสอบที่ดินของ น.ส.ปารีณาทันที
ด้วยไม่อยากกำเผือกร้อนเอาไว้ในมือเช่นกัน

แน่นอน คงไม่ต้องถาม พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร ที่คงต่างยืนกราน ให้ดำเนินการตามกฎหมายกับ น.ส.ปารีณา
แม้ว่าสิ่งที่เธอทำ จะมีการกล่าวอ้างเป็นยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของพรรคพลังประชารัฐ
ที่ทำขึ้นล้วนเพื่อ “นาย”
รักษาฐานะของ “นาย” ราว “ไข่ในหิน”
แน่นอน คำว่า “นาย” ในที่นี้
มิได้หมายถึง นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค
มิได้หมายถึง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค
หากแต่เป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หากแต่เป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ซึ่งล้วนตกเป็น “เป้าหมาย” ทางการเมืองจากฝ่ายค้านและจากสังคม
จึงเป็นธรรมดาที่ต้องวางระยะห่างจาก น.ส.ปารีณา แม้ว่าเธอจะเข้าใจว่า ทำเพื่อ “นาย” มาตลอด

นี่จึงเป็นความเจ็บปวดที่เธอจะต้องกล้ำกลืน
และถือเป็นค่าใช้จ่ายราคาแพง
ที่ยามเมื่อทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อนาย ต่อพรรค ก็มีเสียงสรรเสริญเยินยอว่า เจ๋ง เก่งกล้า
แต่เมื่อยามมีปัญหา ดูเหมือนมีแต่คนถอยหนี
จึงไม่ประหลาดใจที่นายทวี ไกรคุปต์ ผู้พ่อ จะบอกรู้สึกสงสารลูก
เพราะนอกจากจะถูกเกมการเมืองตามไล่ล่าแล้ว
อาจต้องเจอคดีอาญา ที่โทษร้ายแรงถึง “คุก” รออยู่ข้างหน้า
หรือนี่คือการตอบแทนอันมีค่า สำหรับ ส.ส.หญิง ปารีณา ไกรคุปต์
ผู้มี
จิตหนึ่ง
ใจเดียว
เพื่อ “นาย”!!