ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 พฤศจิกายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ชกคาดเชือก |
ผู้เขียน | วงค์ ตาวัน |
เผยแพร่ |
ในทางคดี เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พ้นจากความเป็น ส.ส. ตามที่ กกต.ยื่นร้องให้วินิจฉัย กรณียังถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดียอยู่ ทุกฝ่ายก็ต้องเคารพในมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว
แต่ในทางการเมือง ย่อมต้องมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาถึงแนวโน้มในด้านต่างๆ
ผลที่ตามมาในทางการเมืองอย่างแน่นอนก็คือ นายธนาธรจะกลายเป็นนักการเมืองนอกสภา ซึ่งอาจจะมีประสิทธิภาพส่งผลสะเทือนกว้างขวาง มากกว่าการทำงานทางการเมืองในสภาด้วยซ้ำ
“ความที่ยังเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และยืนยันจะทำงานทางการเมืองตามอุดมการณ์เป้าหมายต่อไป เท่ากับว่าจะได้เห็นการเดินหน้าการเมืองแบบนอกสภาอย่างเต็มตัวนับจากนี้”
น่าคิดว่า เมื่อไม่นานมานี้ นายธนาธรได้กล่าวปราศรัยกับมวลชนถึงสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ในขณะนี้ว่า
ความผิดของตนเองและพรรคอนาคตใหม่คืออะไร คำตอบก็คือ ไม่ใช่เรื่องหุ้นสื่อ ไม่ใช่เรื่องเงินให้พรรคกู้ แต่ความผิดก็คือ การต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช.
“การจุดปมประเด็นในทางการเมืองดังกล่าวนั้น น่าจะสอดรับกับความรับรู้ของผู้คนในสังคม!”
ในประเด็นทางข้อกฎหมาย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ก็ต้องยอมรับไปตามนั้น
แต่ในทางการเมือง สิ่งที่นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่เผชิญกับมรสุมมากมายนั้น
ทุกคนเชื่อว่า เป็นเพราะกลุ่มผู้กุมอำนาจ หวาดผวาในตัวนายธนาธรและอนาคตใหม่อย่างยิ่ง
“กลัวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ยิ่งกว่าที่เคยกลัวทักษิณและพรรคเพื่อไทยเสียอีก”
กลุ่มอำนาจล้าหลังเคยหวาดกลัวทักษิณและเพื่อไทย เพราะสามารถครองใจมวลชนในชนบทได้อย่างมากมายกว้างขวาง โดยเฉพาะภาคอีสานและภาคเหนือ
แต่ทักษิณก็คือนักธุรกิจพ่อค้า พร้อมประนีประนอมและมียืดหยุ่นเดินหน้าถอยหลังได้
ขณะที่นายธนาธรและอนาคตใหม่ มาด้วยแนวคิดอุดมการณ์ที่ชัดเจนแหลมคมกว่า ที่สำคัญ ความเป็นคนหนุ่มมุ่งมั่นจริงจัง จะยึดมั่นในแนวทางและหลักการอย่างไม่ยอมยืดหยุ่น
รวมทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ คนหนุ่มสาวมากมายหลายล้านเสียง รวมทั้งชนชั้นกลางในเมืองหลวงอีกด้วย
“ทำให้นายธนาธรและอนาคตใหม่ถูกจับจ้องมากกว่าทักษิณและเพื่อไทย!”
ดังนั้น เพียงแค่ก่อตั้งได้ปีเศษ เพียงแค่การเลือกตั้งสมัยแรก
ด้านหนึ่งก็มาแรงอย่างไม่มีใครคาดคิด ได้ ส.ส.เข้ามาเป็นอันดับ 3 แต่อีกด้านก็ต้องโดนกระทำทุกวิถีทาง จนทำให้นายธนาธรยังไม่สามารถเข้าไปนั่งในสภาได้แม้แต่วันเดียว
อีกทั้งยังมีอีกหลายคดีที่ยังไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นอีกกับนายธนาธรและอนาคตใหม่
กล่าวกันว่า เพราะพรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่แค่พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง แต่ยังมีลักษณะของการอยู่ร่วมกับกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม มีนักคิดนักกิจกรรมต่างๆ เข้ามาร่วมทำงานอยู่ในพรรคนี้มากมาย
ดังจะเห็นได้จากการเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับกระแสสนับสนุนในตอนเลือกตั้งอย่างล้นหลาม ทั้งที่ไม่ได้มีระบบจัดตั้งแบบพรรคการเมืองในระบบปกติทั่วไป ไม่มีหัวคะแนน ไม่มีการใช้จ่ายเงินทอง ไม่มีนายทุนกลุ่มทุนอยู่เบื้องหลัง
“ประเด็นนี้เองที่ทำให้ปัญหาที่นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ต้องเผชิญ สามารถพลิกกระแสให้กลายเป็นปัญหาทางอุดมการณ์การเมืองได้ง่ายๆ”
สามารถยกระดับจากปัญหากฎหมาย กลายเป็นปัญหาการเมืองได้ไม่ยาก
“อีกทั้งการยิ่งถูกทุบตีมากเท่าไร ก็อาจจะยิ่งทำให้พรรคนี้ยิ่งขยายตัวเติบโตมากขึ้น!”
แล้วยิ่งในวันนี้ เมื่อหัวหน้าพรรคต้องพ้นจากสถานะ ส.ส. กลายเป็นนักการเมืองนอกสภา ก็อาจจะยิ่งทำให้หัวหอกของพรรคนี้เข้าร่วมอยู่กับกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในแวดวงต่างๆ ได้อย่างกลมกลืนมากขึ้นไปอีก
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ ในบ้านเมืองได้กว้างขวางมากขึ้น
แถมเป้าหมายของอนาคตใหม่ก็คือ การสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นกว่านี้ ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองและในบ้านเมืองให้ชัดเจนกว่านี้
“ยืนยันว่าไม่ขออยู่เป็น คือไม่ยอมจำนนอยู่กับสภาพเดิมๆ แต่ขออยู่ไม่เป็น คือไม่เออออห่อหมกไปกับสิ่งเก่าๆ”
การเมืองของอนาคตใหม่นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภายในสภาและแค่การเลือกตั้งเท่านั้น
ดังนั้น การหยุดนายธนาธรไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ในสภาได้อีกต่อไป ก็เหมือนการปล่อยนายธนาธรให้เดินเข้าหามวลชน ทำการเมืองนอกสภาได้อย่างเต็มตัว
น่าจะทำให้แนวรบนอกสภาของอนาคตใหม่ยิ่งคึกคักเข้มข้นและตรงเป้าหมายมากขึ้นอีก!
คดีหุ้นวี-ลัคฯ อาจจะส่งผลให้นายธนาธรสิ้นสุดความเป็น ส.ส. ไม่มีการตัดสิทธิ์ทางการเมืองและยังไม่มีโทษในด้านอื่นๆ แต่ก็ต้องดูกันต่อไปว่า กกต.จะนำผลคดีนี้ไปยื่นฟ้องต่อในศาลอื่นเพื่อส่งผลทางอาญาอีกหรือไม่ โดยเฉพาะโทษตัดสิทธิ์ทางการเมือง และโทษจำคุก
เมื่อรวมกับคดีอื่นๆ อีกกว่า 20 คดีที่แกนนำอนาคตใหม่ยังต้องต่อสู้ต่อไป ก็ยังไม่รู้ว่าชะตากรรมของแกนนำและพรรคนี้จะลงเอยเช่นไร
แต่ต้องไม่ลืมว่า นี่คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีพลังแรงกล้า มีความมุ่งมั่นจริงจังในแนวคิดอุดมการณ์
“ดังนั้น เมื่อเจอมรสุมจากกลุ่มผู้มีอำนาจมากเท่าไร ก็อาจจะยิ่งฮึกเหิมต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวมากขึ้นเท่านั้น”
แล้วต้องไม่ลืมว่า พรรคนี้ไม่ใช่แค่พรรคการเมืองเหมือนพรรคอื่นๆ แต่กลมกลืนกับกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและทางการเมือง
“ดังนั้น การยุบพรรคหรือการลงโทษไม่ให้เข้าสภา ไม่สามารถปิดกั้นหรือหยุดยั้งคนเหล่านี้ได้”
นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า กลุ่มอำนาจล้าหลังยังคงไม่สรุปบทเรียนการเมืองไทย หลังจากเข้ามาจัดการล้มทักษิณและพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2549
นั่นคือ ยังพยายามใช้ทุกกลไก ใช้ทุกความได้เปรียบที่มีอยู่มาครอบครองอำนาจเอาไว้ในมือฝ่ายเดียว กีดกันขับไล่ฝ่ายอื่น ถ้าทำได้ก็จะไม่ยอมให้ฝ่ายตรงข้ามมีที่ยืนในทางการเมืองแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
รวมๆ คือ ไม่ยอมรับกติกาประชาธิปไตย ที่เป็นระบบซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกขั้วความคิดสามารถตั้งพรรคการเมืองเพื่อต่อสู้กันอย่างสันติในเวทีสภา แล้วให้ประชาชนตัดสินในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ซึ่งสามารถพลิกกระแสแพ้-ชนะกันได้ตลอด
“แต่ยังเป็นเผด็จการแฝงประชาธิปไตย ใช้ความ “มีเส้น” เข้ามาเล่นงานฝ่ายอื่น อย่างไม่เคยสรุปบทเรียนและยอมรับความจริง!!”
ล้มทักษิณไปเมื่อปี 2549 ขับไล่ไม่ให้อยู่ในแผ่นดินไทย ปรากฏว่าทักษิณมีอิสรเสรีไปได้ทุกที่ในโลก แถมมีคดีทุจริตมากมาย แต่ไม่เคยมีประเทศไหนร่วมมือจับตัวส่งมาให้ เพราะทั่วโลกมองว่าเป็นปัญหาทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องคดีคดโกง
ข้อสำคัญ กระแสความนิยมของประชาชนที่แสดงผ่านการเลือกตั้งก็ไม่ได้ตกหรือลดน้อยลง
“ต่อมาในปี 2557 ก็ต้องล้มยิ่งลักษณ์อีกรอบ แล้วทุกอย่างก็ไม่ต่างจากตอนเล่นงานทักษิณ”
เพียงแต่เมื่อมีนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นมาและแรงยิ่งกว่า ก็เลยกลายเป็นเป้าหมายใหม่ ที่ฝ่ายอำนาจเก่าหวาดผวายิ่งกว่าทักษิณและยิ่งลักษณ์
แต่ก็เล่นงานกันแบบไม่ยอมสรุปบทเรียนที่ผ่านมากว่าสิบปีเลย ว่าทำให้ปัญหาวนเวียนไป-มาไม่เคยจบสิ้น
ที่สำคัญคือ ทำให้บ้านเมืองจมปลักไม่พัฒนาก้าวหน้าไปไหนเลย!