“จตุพร” ปลุกคนไทย อย่ายอมเป็นเบี้ยล่างสหรัฐ มองตัดสิทธิจีเอสพีเป็นหมาป่ากับลูกแกะ

วันที่ 27 ตุลาคม 2562 ร้านกาแฟพีซคอฟฟี่ แอนด์ไลบรารี่ อิมพีเรียล ลาดพร้าว ชั้น 5 มีการจัดกิจกรรมต่อลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์ ออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม พีซทีวี มีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.มาพบปะพูดคุย ร้องรำทำเพลงกันสนุกสนานกันเป็นประจำทุกสัปดาห์

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวถึงกรณี ประเทสสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศตัด สิทธิพิเศษภาษีศุลกากรสินค้า หรือ GSP จากไทย มีผลกระทบกับสินค้ากว่า 573 รายการ มูลค่ากว่า 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะมีผล 6 เดือนหลังประกาศเมื่อ 25 ตุลาคม โดยอ้างเหตุผล เรื่อง ปัญหาสิทธิแรงงาน ว่า หลายคนอธิบายว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจ เป็นประเทศโลกเสรี ยึดมั่นระบอบประชาธิปไตย แต่หลายยุค หลายสมัยพบว่า มิได้เป็นเช่นนั้น แต่กลับพบว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา เห็นแต่ผลประโยชน์สูงสุดของประเทศตัวเองเป็นหลัก ไม่ได้สนใจว่าประเทศไทยขณะนั้น ปกครองด้วยรัฐบาลแบบใด นอกจากนี้ยังมีบางคนที่อธิบายเหตุผลเรื่องนี้ ว่าเป็นเพราะไทยแบน 3 สารเคมีที่เป็นพิษ หรือไม่ ซึ่งวันนี้เราไม่สามารถมีข้อสรุปได้ว่าเป็นเพราะเหตุผลใด

นายจตุพร กล่าวอีกว่า สถานการณ์ในวันนี้ คล้ายก่อนเกิดวิกฤต ต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 เพียงแต่เหตุการณ์ในตอนนั้น ส่งผลกระทบกับคนรวยเป็นหลัก ที่เรียกได้ว่าล้มบนฟูก นำสู่นโยบายอื้อฉาวที่นำมาสู่ข้อครหา “ขายชาติ” อย่างการตั้งองค์การเพื่อการปฏิรูปสถาบันการเงิน หรือ ปรส. และการกู้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ที่ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประโยชน์จากเรื่องนี้มากมาย นี่คือความอำมหิตของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ให้นายจอร์จ โซรอส นักลงทุน ฉายาพ่อมดการเงิน เพียงคนเดียว สามารถทำลายเศรษฐกิจไทยทั้งระบบได้ นอกจากประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว ประเทศจีน ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่เราจะต้องวางแผนรับมืออย่างหนัก จากการเข้ามาแทรกแซงสินค้าเกษตร ทำลายตลาด ทำลายระบบ ที่เราจะได้ผลประโยชน์แค่ช่วงแรก แต่จะส่งผลอย่างมากในระยะยาว กับสินค้าเกษตรไทย

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า เราอย่าหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าประเทศมหาอำนาจจะจริงใจกับเรา การที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตัด GSP ไทย นั้นมิใช่เรื่องปัญหาสิทธิแรงงาน แต่เป็นเรื่อง หมาป่ากับลูกแกะ เรื่อง GSP เป็นแค่การเริ่มต้น เปิดประตูให้เศรษฐกิจไทยล้มระเนระนาด เพื่อที่เขาจะเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดจากไทย เราต้องประกาศนโยบายแข็งกร้าว แข็งขืน แสดงให้เห็นว่า อย่าทำแบบนี้กับประเทศไทย ระยะเวลา 6 เดือนต่อจากนี้ เราต้องตั้งหลัก ปรับตัว เปลี่ยนทิศทาง ตนเชื่อว่า หากการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 เราปรับสถานการณ์ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง รับมือเรื่องนี้ได้ เราจะรอด และสามารถยืนได้อย่างแข็งแรง อย่างไรก็ตาม ตนอยากจะบอกกับรัฐบาลว่า สภาพการณ์เช่นนี้ ถ้ารัฐบาลยังพอมีปัญญาเหลืออยู่ก็ควรปรับตัว แต่ถ้าไม่มีปัญญา ก็ควรออกไปได้แล้ว ให้คนมีปัญญาได้เข้ามาทำงานแทน ลืมยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ออกแบบบริหารจัดการประเทศใหม่ เรียนรู้ชาติมหาอำนาจ ว่าไม่มีใครรักเราจริง นอกจากไทยด้วยกัน