ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 ตุลาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | อัญเจียแขฺมร์ |
ผู้เขียน | อภิญญา ตะวันออก |
เผยแพร่ |
ไม่ใช่ปัญหาความสับสนต่อช่วงเวลาที่พบกับเกน นัน และคุณตาสก่รุญองกัญ (สก่-รุญ-อง-กัญ/ผมหยิก) สองคน สองบุคลิกผู้มีรูปลักษณ์บางอย่างที่ทำให้ฉันจดจำพวกเขาตลอดมา แม้ว่าเวลาเหล่านั้นจะผ่านไปนานแล้ว
สำหรับเกน นัน ผู้ช่างต่างไปจากชาวพนมเปญทุกคนที่ฉันรู้จัก และตาสก่รุญองกัญ ชาวสร๊กบันเตียฉมาร์ ชายชราคนแรกที่ทำให้ฉันกระจ่างแจ้งว่า การมีผมละเอียดฟูฝอยจนมันแทบจะ “รุญ-อง-กัญ” หรือแทบจะเกลียวเดียวกันนั้น เป็นความเนียนมานโอฬาริกทางร่างกายประเภทหนึ่ง แบบเดียวกับที่พวกฤๅษีเขามีกัน
ฉันเองนั้น นานนมมาแล้วที่ต้องผจญกับการถูกคนวิจารณ์ โดยเฉพาะความไม่ยินดียินร้ายต่อสภาพทรงผมและหัวกบาลของฉัน ซึ่งพบว่า การมีชีวิตอยู่ในเขมร (เมื่อหลายปีก่อน) และได้พบกับเกน นัน ผู้มีปอยผมเทริดสูงราวปราสาทปรางค์หนึ่งแห่งเมืองพระนคร
ทันที การมีชีวิตที่มีผมรุญองกัญน้อยๆ ของฉันก็พลันเป็นความรื่นรมย์
การสำรวจตรวจตราเรือนร่างอาจเป็นสิ่งแรกๆ ที่ทำให้เราสนใจต่อชายผู้นี้หลังปี 1997 ตอนอยู่ที่กรุงพนมเปญ ใช่แต่ฉันหรอกที่เสียมารยาทแบบนั้น แต่เกน นัน ต่างหากที่ประสบพบมันอย่างเคยชิน มันอาจจะมาจากที่ส่วนหัวของเขาต่างหากที่น่าดึงดูดใจ
มันคือ “ส่วนหัวของเขางั้นรึ?” ฟังดูเหมือนจะขาดความยกย่องมนุษย์ในความเท่าเทียม เปล่าเลย ความจริงฉันเพิ่งมาคิดได้ภายหลังถึงพฤติกรรมที่ชอบสำรวจตรวจตราความเป็นรูปลักษณ์ภายนอกของชาวเขมรไม่ว่าจะเป็นชนกลุ่มน้อยในรัตนคีรี ในลาวใต้ ในป่าเสียมเรียบ ฯลฯ พวกเขามักจะมีบางอย่างที่ช่างดึงดูดใจ เช่น ใบหู ดวงตา ปอยผม ลำคอและอื่นๆ
และสำหรับเกน นัน แล้ว แม้สังคมกัมพูชาขณะนั้น จะเพิ่งถ่ายผ่านจากระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์มาไม่นาน
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวเกน นัน มาแต่กำเนิดเหมือนชาติพันธุ์ในชนกลุ่มน้อยกัมพูชา
หากแต่ตอนที่เขามีอายุได้ 41 ปี หรือสมัยสังคมนิยมในปี พ.ศ.2529 ขณะนั้น เกน นัน เป็นเสมียนธนาคารชั้นผู้น้อย ที่มีมุขระบอ/ประกอบอาชีพเป็นพ่อค้าขายของชำอีกด้วย
เขามีลูกสาววัยสคราญอีก 4 นาง ในเดือนพฤศจิกายนที่ทำให้เขาพบกับความฝันอันล้ำลึกและประหลาด ชีวิตทั้งภายในและกายภาพของเกน นัน ก็เปลี่ยนแปลงไปพลัน
ในความฝัน เกน นัน เห็นเทพเจ้าฮินดู 3 องค์ปรากฏตัวขึ้นที่ภูเขาพนมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ตอนนั้นเอง เกน นัน รับรู้ว่า นั่นคือเทพเจ้าแห่งพระพรหม พระวิษณุและพระศิวะ
“ผมรู้สึกมหัศจรรย์อย่างมากที่องค์เทพทั้งสามกำลังจ้องมองมาที่ผม ขณะเดียวกัน ผมเองก็ไม่อาจละสายตาไปจากพระองค์เช่นกัน” (*)
ทว่า สิ่งที่ยากจะเชื่อกว่านั้นคือ ในรุ่งสางของวันต่อมา เกน นัน ได้พบว่า เขามีปอยผมประหลาดงอกออกมา 3 ปอยตรงท้ายทอยของตนอย่างไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
ไม่แต่เท่านั้น ต่อมา เกน นัน ก็พบว่า ผมที่งอกยาวออกมาทางศีรษะก็มีลักษณะผิดแผกจากเดิม กล่าวคือ ดกดำและหยิกละเอียดราวเส้นไหมที่มากมายบนศีรษะจนเขาต้องเทริดพันมันขึ้นไปในอากาศ ไม่ต่างจากเทวรูปบางองค์ในปราสาทบายน
แต่บางคนก็เชื่อว่า นี่คือ ทรงผม (ศีรษะ) ของเทพพญานาค
ตามความเชื่อโบราณ ชาวเขมรบางรายยังขอให้เกน นัน ขลิบปอยผมใส่ถ้วยเงินไปวางหน้าแท่นบูชาเทวรูปฮินดู และนั่นจะทำให้ผมของเขางอกยาวออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง
เกน นัน ไม่ได้บอกว่า เขาทำตามคำแนะนำนั้นหรือไม่ แต่แม้จะไม่ทดลอง ผมประหลาดนั่นก็อยู่บนหัวของเขาไปตลอดชีวิต ด้วยความเชื่อที่ว่า เขาไม่สามารถจะตัดสักปอยทิ้งไปได้ เว้นเสียแต่เขาจะไม่มีลมหายใจ
แต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่เขาพบว่า มีกลไกบางอย่างที่เข้ามาบงการและเปลี่ยนแปลงจิตใจ จากการที่เขาเริ่มถือศีลห้าและปฏิบัติสมาธิครั้งละนานๆ
น่าประหลาดที่ความเคร่งครัดปฏิบัตินี้เป็นไปทั้งแบบพุทธ-พราหมณ์ เช่นเดียวกับหิ้งพระบูชาภายในบ้านที่เคียงข้างด้วยแท่นบูชาเทพฮินดู
เกน นัน รับรู้ถึงบางอย่างที่เรียกว่าลางสังหรณ์ บางที เรื่องทั้งหมดนี้อาจเกี่ยวข้องกับ “ผมสก่รุญองกัญ” บนศีรษะเขาหรือไม่? เช่นเดียวกับ “เทพเจ้าฮินดู” ที่เดิมรับรู้แต่เป็นเพียงรูปปั้นในเทวาลัย แต่ตอนนี้ บางทีมันก็เป็นสิ่งที่เขาเองก็อธิบายไม่ได้
มันเป็นปรากฏการณ์เชิงนามธรรม บางทีมันก็เหมือนกับ “อากาศว่างเปล่าที่เขากำมันไว้ในมือ” เกน นัน กล่าว ที่แม้ว่าเขาจะไม่เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์มาก่อน ทว่า ชีวิตหลังความฝันประหลาดนั่น ก็ส่งเสริมให้เขามีหน้าที่การงานที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู
บางทีนี่อาจจะเป็นพลังงานบางอย่างอันลึกลับ
แต่ข้อจำกัดนี้ ก็ถูกท้าทายทันที โดยเฉพาะเหตุการณ์ 1 สัปดาห์ก่อนวันรัฐประหารกรกฎาคม 1997 ขณะกำลังนั่งสมาธิ เกน นัน เห็นพนมเปญลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงขนาดใหญ่ และชัดเจนมากขึ้นบริเวณที่กองกำลังสองฝ่ายฮุน เซน-รณฤทธิ์เกิดการต่อสู้
นับแต่นั้นมา เกน นัน เริ่มมั่นใจและเชื่อว่า พรอันพิเศษที่ได้มาจากเบื้องบนนี้ อาจช่วยให้เขาบรรลุถึงการทำนายโชคชะตาและรักษาโรคแก่เพื่อนมนุษย์ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขารอคอย ที่จะเบิกเนตรของตนไปสู่หนทางนั้น
น่าเสียดายที่เกน นัน ไม่ทันที่จะใช้เทพกุศลดังกล่าวได้ยาวนานอย่างที่เขาฝัน เพราะเพียง 20 ปีเศษหลังจากที่เขาเริ่มมีผมเหยียดยาวเหมือนพญานาค เกน นัน ก็จากพวกเราไปอย่างกะทันหัน
แต่ชาวพนมเปญสมัยเพิ่งฟื้นจากยุคสังคมนิยมเมื่อราว 20 ปีก่อนไม่สนใจมนตราแห่งความลึกลับ ในทรงผมทรงพญานาคบนศีรษะของเกน นัน
ผู้คนอาจเคารพบูชาต่อเนียะตา บรรพบุรุษและเทวรูปขอมตามโบราณสถาน แต่ไม่ได้รวมไว้ด้วยบุคคลที่มีช้องผมเทริดขึ้นไปบนอากาศ เขาอาจประดุจเทพฮินดู แต่ก็มิได้ทำให้ชาวพนมเปญเวลานั้นคลั่งไคล้ใหลหลงกับภาพลักษณ์แห่งบุญญาธิการหรือปาฏิหาริย์ตามความเชื่อเพื่อประโยชน์พาณิชย์ การค้าและอื่นๆ เช่น ประเทศเพื่อนบ้าน และชาวนครบางคน
บันเตียฉมาร์ที่ตาสก่รุญองกัญอาศัยก็เช่นกัน ผู้คนที่นั่นให้การนับถือต่อเขาในฐานะผู้อาวุโส แต่ไม่มีใครคลั่งไคล้ในความเป็นมูเตลู และเครื่องรางหรือผ้ายันต์อย่างจริงจังจากตานัก เว้นเสียแต่ก็ชาวต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้านบางคณะที่พากันมาเยือนเป็นระยะ ผ่านช่องทางธรรมชาติตรงภูมิ “บึงตะกวน” (หนองผักบุ้ง)
ไม่เพียงเท่านั้น ชายชราร่างเล็ก ทรงภูมิที่มาพร้อมกับปอยผมแบบฤๅษีนี้ ครั้งหนึ่ง เคยเป็นสายลับสอดแนมฝรั่งเศสให้ฝ่ายไทยในนามแขฺมร์เสรี
มัคคุเทศก์ที่ฉันท่องเที่ยวในดงตะโกร้อยปีที่หมู่บ้านบันเตียฉมาร์และบารายใกล้
ณ กาลครั้งหนึ่งที่ผ่านเลย เกน นัน และตาสก่รุญองกัญ ต่างประทับรอย “ฤไษกัมปูเจีย” ในใจฉัน การปรากฏตัวของเขา ไม่ต่างจากการเป็นตัวแทนลัทธิเทวนิยมรุ่นสุดท้าย
ภายใต้เงาพราหมณ์แห่งชาตะฤๅษีที่เคยมีในอดีตแห่งยุครุ่งรางอาณาจักรขอมกระมัง
หลายปีต่อมา ฉันเคยคิดว่า ทั้งเกน นัน และตาสก่รุญองกัญ ต่างเป็นตัวแทนแห่งความลี้ลับบางอย่าง ที่คนไม่เชื่อในศาสตร์สายนี้อย่างฉันได้มีโอกาสรู้จัก
ในบางครั้งคู่มือปราสาทบันเตียฉมาร์ฉบับย่อของฉันก็เรื่อยเปื่อย เหนือจริงและไม่น่าเบื่อเมื่อพบว่า นายมัคคุเทศก์แห่งจินตนาการอย่างตาสก่รุญองกัญ ได้บันดาลศิลาแลงแต่ละก้อนแห่งซากอดีตของชัยวรมันที่ 7 ช่างเต็มไปด้วยเรื่องราวอันสุดแสนประหลาด
เพราะเมื่อฤๅษีบ้านเขมรคนนั้นเสียชีวิต บันเตียฉมาร์ก็ถูกนิมิตให้กลับมาซ่อมแซมใหม่ ด้วยโบราณวัตถุทุกๆ ชิ้นที่เคยถูกโจรกรรมราวเกือบ 2 ตัน
ราวอีก 2 ทศวรรษต่อมา การรื้อฟื้นประดิษฐานศิลาแลงจำนวนมากในรูปแบบวิทยาศาสตร์ ก็คืนสู่ความสมบูรณ์ของงานศิลป์อาณาจักรยุคกลางให้กลับมามีความงามแห่งทุกองศารวมทั้งประติมากรรมนูนต่ำและกำแพง-ช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์
ไม่ต่างจากผมทรงพญานาคที่ถักทออยู่บนศีรษะของเกน นัน ที่เป็นเหมือนจินตภาพพนมเปญแห่งอดีตที่สุดแสนจะงดงาม
พลัน การรำลึกถึงสก่รุญองกัญของฤๅษีกัมพูชา ก็เข้ามารบกวนใจ
โดยทางใดทางหนึ่ง ฉันคิดว่า การตื่นรู้ภายในที่หลับใหลในตัวฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ช่างเดินทางมาถึงอย่างเชื่องช้า ระหว่างทางชีวิตที่สุมด้วยอุปสรรคนั่น
กว่าเสียงเพรียกของเกน นัน และตาสก่รุญองกัญแห่งป้อมแมวบันเตียฉมาร์จะหวนคืนกลับมา ในวันที่ปอยผมบนกบาลเริ่มเป็นสีดอกเลา และความจำที่เหือดแห้งไม่ต่างลาวาที่กลายเป็นดินโคลน
อา พลันการ “ยลเฆิญ” อย่างรื่นรมย์เหมือนฝนแรกก็มาเยือน
ด้วยโศลกบทหนึ่งซึ่งขับโดยฤๅษีเขมร
——————————————————————————————————-
(*) Cambodge Soir: Chroniaues social d”un pays au quotidien, 2005
เครดิต : Khem Sovannara