วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร / สะพานเชื่อม จิ้งหวัง เหมยฉางซู (13)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู

เสถียร จันทิมาธร

สะพานเชื่อม จิ้งหวัง เหมยฉางซู (13)

หากไม่มีกรณีถิงเซิงเกิดขึ้น เหมยฉางซูคงไม่มีโอกาสได้พบกับจิ้งหวัง เซียวจิ่งเหยียนอย่างรวดเร็ว นอกเหนือไปจากวาระอันกำหนดเอาไว้

ระหว่างเดินทางกลับจากไปร่วมชมดูการประลองยุทธ์ ณ ตึกหงส์เสด็จ

เหมยฉางซูพิงพนักอ่อนนุ่มหลับตาพักผ่อน ห้องโดยสารรถโคลงเคลงสั่นไหว บรรยากาศสงบเงียบเหมาะกับการใช้ความคิดอย่างยิ่ง ขณะกำลังเดินทางอย่างเงียบสงบ ด้านนอกรถม้าพลันปรากฏเสียงตะโกนโหวกเหวกดังมา

“จิ่งรุ่ยจอดรถดูว่ามีเรื่องอะไร ข้าได้ยินเสียงเด็กร้อง”

เห็นเป็นเหอเหวินซิน บุตรเหอจิ้งจง เสนาบดีกรมมหาดไทย กำลังใช้เท้าถีบโครมใส่เด็กชายผอมแห้งคนหนึ่ง ทั้งถีบทั้งด่าทอ

“เจ้าเด็กบัดซบ วิ่งทะเล่อทะล่าไม่รู้จักดู ทำให้ม้าตกใจจนข้าเกือบจะตกลงมา”

โชคดีที่เซียวจิ่งรุ่ยออกรับหน้าส่งสายตากระทั่งเหอเหวินซินต้องวางมือ

เด็กชายรูปร่างผอมบาง อายุประมาณ 10 กว่าขวบ บนใบหน้าปรากฏรอยนิ้วมือหลายริ้วบวมแดงเล็กน้อย ยามนี้เห็นคนที่ทุบตีจากไปแล้วถึงค่อยๆ ยืดตัวจากที่ขดจนกลมคลานเก็บตำราอันหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้นก่อนนำมาเรียงซ้อนกันเป็นตั้งสูงห่อด้วยผ้าเก่าคร่ำผืนหนึ่ง

ทว่าหนังสือมีมากจนผ้าห่อไม่หมด ครึ่งค่อนวันก็ยังมัดปมไม่ได้

ทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาเหมยฉางซูครบถ้วนจึงบอกให้เซียวจิ่งรุ่ยนำเด็กชายคนนั้นขึ้นมาในห้องโดยสารบนรถม้า

กดมืออ่อนนุ่มบนบ่าคลึงจากบนลงล่างนวดเบาๆ พลางใช้สายตาสำรวจทั่วร่าง

พอฝ่ามือกดถูกซี่โครง เด็กก็ส่งเสียงร้องครางออกมาด้วยความปวดเจ็บ พลางกระถดร่างถอย เหมยฉางซูพยุงร่างเด็กจากด้านหลังถอดเสื้ออย่างเบามือ พอเห็นสภาพพลันอดสูดหายใจลึกไม่ได้ ทั่วร่างผอมบางนอกจากแนวซี่โครงมีรอยเขียวช้ำปนม่วงปื้นหนึ่งยังมีรอยเก่ากระจายเต็มไปหมด

มองผาดๆ คล้ายเป็นรอยจากการถูกหวดด้วยกระบองและแส้ แม้รอยจะจางไปบ้างแล้วแต่ก็ยังพอนึกภาพออกว่าเด็กได้รับการทรมานเช่นไร

เมื่อเซียวจิ่งรุ่ยสอบถาม เหมยฉางซูเอ่ยห้ามเบาๆ

“อย่าถามอีกเลย ถึงเด็กน้อยซี่โครงไม่หักแต่ก็มีรอยร้าว รีบพากลับจวนเชิญหมอตรวจดูให้ละเอียดก่อนดีกว่า ยังมีหนังสือพวกนั้นไปเก็บมาให้หมดเถอะ ดูท่าเด็กน้อยจะห่วงหนังสือพวกนั้นเหลือเกิน”

เหมยฉางซูกล่าวไม่ผิด เพราะเด็กน้อยพอเห็นหนังสือ สีหน้าก็ผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้าเป็นคนอ่านหนังสือพวกนี้” เหมยฉางซูพลิกเปิดหนังสือในกอง พลางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ด้วยน้ำเสียงอันสุภาพทำให้ผู้คนรู้สึกวางใจ

“เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”

“สิบเอ็ด”

“ชื่ออะไร”

เด็กชายนิ่งอึ้งเนิ่นนาน นานกระทั่งผู้คนเข้าใจว่าเขาคงจะไม่ตอบแล้ว แต่จู่ๆ ก็เปล่งเสียงออกมา 2 คำ

“ถิงเซิง”

“แซ่อะไร”

“ข้าไม่มีแซ่ มีแต่ชื่อถิงเซิง”

เด็กชายเบื้องหน้า แม้ 2 แก้มบวมแดง ใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่ยังคงหล่อเหลา แม้ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมแต่ก็มิได้บังเกิดความคิดต่อต้าน ที่น่าแปลกคือ บนร่างไม่ปรากฏกลิ่นอายเป็นความไพร่ราวกับจิตใจแฝงไว้ด้วยความทระนง แข็งแกร่ง

ต่อให้ถูกลบหลู่หยามเหยียดก็ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นต่ำต้อยด้อยค่ามิได้

“ข้าไม่อาจถูกรับเลี้ยงได้ ข้าต้องกลับไปยังสถานที่แห่งนั้น ถ้าข้าถูกรับเลี้ยงได้ ป่านนี้คงมีคนรับข้าไปเลี้ยงดูนานแล้ว”

นั่นย่อมเป็น “สถานะ” พิเศษของถิงเซิง

เหมยฉางซูเอ็นดูถิงเซิง 1 เนื่องจากชะตากรรมที่ถิงเซิงประสบข้างถนน และย้อนไปยังรากฐานความเป็นมาอันชวนสงสัย

1 เพราะเห็นบางบุคลิกลักษณะของถิงเซิง

ไม่เพียงแต่มีแววทระนง แข็งแกร่ง ไม่เพียงแต่ยอมรับต่อชะตากรรมอย่างหนักแน่น จริงจัง ไม่เพียงแต่สงบนิ่งและเยือกเย็น

หากที่สำคัญ 1 เพราะในวงแขนของถิงเซิงมีหนังสือ

ทั้งหมดล้วนบ่งบอกสภาวะอันไม่ธรรมดาอย่างยิ่งของถิงเซิง ทั้งหมดล้วนสะท้อนถึงตัวตนและจุดเร้าอันน่าสนใจ

ยิ่งกว่านั้น ตัวของถิงเซิงยังดูดดึงให้จิ่งหวัง เซียวจิ่งเหยียน ได้พบกับเหมยฉางซู