ธงทอง จันทรางศุ | อยู่อย่าง “ยิว”

ธงทอง จันทรางศุ

เมื่อเกือบ 40 ปีมาแล้ว

ผมเดินทางไปเรียนหนังสือที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

ที่เมืองนั้นเป็นโอกาสแรกที่ผมได้พบเห็นคนยิวแบบตัวเป็นๆ

ไม่ใช่ยิวไชล็อกที่เคยพบกันแต่ในหนังสือเรื่องเวนิสวาณิชเมื่อตอนเรียนชั้นมัธยม

ตามความรู้ที่ผมมีติดตัวไปจากเมืองไทยนิดๆ หน่อยๆ ยิวเป็นชนชาติหนึ่งที่มีความเป็นมาเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ตั้งแต่ครั้งคริสตกาลหรือก่อนนั้น

ยิวเป็นชาติที่ค้าขายเก่ง ไปทำมาหากินที่ไหนก็ชนะคนพื้นถิ่นไปเสียทุกรอบ

ยิวจึงเป็นที่หมั่นไส้ของคนจำนวนมาก และความหมั่นไส้นี้บางครั้งก็เลยเถิดไปจนถึงขีดขั้นของความเกลียดชังด้วย

แน่นอนว่าคนรุ่นผมรู้จักสงครามโลกครั้งที่สองพอสมควร เพราะเด็กรุ่นเดียวกับผมเกิดหลังจากสงครามโลกรอบนั้นเลิกแล้วเพียงแค่สิบปี

พ่อกับแม่ของผมยังเคยวิ่งหนีลูกระเบิดอยู่เลย

เมื่อพูดถึงสงครามโลกครั้งที่สองแล้วก็ต้องนึกถึงเรื่องที่ฮิตเลอร์ฆ่ายิวแบบล้างเผ่าพันธุ์ ด้วยวิธีทารุณโหดร้ายต่างๆ และวิธีการที่ทำให้คนยิวตายเป็นจำนวนมากได้พร้อมกันก็คือการจับไปรมแก๊ส ช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีคนยิวก็ตายไปเป็นจำนวนหลายล้านคน

ด้วยความเห็นอกเห็นใจในเหตุการณ์คราวนั้นและด้วยเหตุผลอีกหลายประการ สงครามเลิกแล้วใหม่ๆ คนยิวก็ได้รับโอกาสจากสหประชาชาติให้มีประเทศเป็นของตนเองขึ้นเป็นครั้งแรก

ประเทศที่ว่านี้ทุกท่านคงนึกออกว่าผมหมายถึงประเทศอิสราเอล ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางประเทศอาหรับทั้งปวง

และอาหรับทั้งปวงนี้ก็ไม่มีใครรักยิวเลย ความระหองระแหงหรือบางคราวก็ยกระดับขึ้นเป็นสงครามระหว่างอิสราเอลกับประเทศอาหรับที่อยู่รายรอบจึงมีมาแล้วหลายยก

และยังจะเกิดขึ้นได้อีกในวันข้างหน้า

จากความรู้พื้นฐานเช่นนี้เมื่อผมได้พบกับคนยิวที่เมืองนิวยอร์กผมจึงเฝ้าสังเกตคนยิวเหล่านั้นเป็นพิเศษด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ดูอยู่เพียงไม่กี่วันก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า ยิวก็เป็นมนุษย์เหมือนอย่างเรานี่เอง รู้ร้อนรู้หนาว รู้ทุกข์รู้สุขได้ไม่แตกต่างกัน

ชาวยิวก็เหมือนคนหลายเผ่าพันธุ์ต่างเชื้อชาติในโลกนี้ที่มีวัฒนธรรมมีศาสนามีความเชื่อเป็นรากเหง้าของตนเอง

แม้ตัวผมเองซึ่งเป็นคนไทยก็เถิด ผิวพรรณเราก็เหลืองซีด ผมดำ ตาเล็กบ้างใหญ่บ้าง ก่อนนอนก็คุกเข่าลงบนเตียงแล้วยกมือขึ้นพนม พึมพำอะไรก็ไม่รู้ประมาณพูดว่า “เหมือนคืนก่อน” แล้วจึงหลับตาล้มตัวลงนอน

รูมเมตหรือเพื่อนร่วมห้องที่อยู่หอพักห้องเดียวกันที่เป็นฝรั่งคงเห็นว่าผมแปลกอยู่ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

ความแตกต่างหรือความแปลกที่ผมต้องเรียนรู้เมื่อมีเพื่อนเป็นชาวยิว คืออาหารการกินของเขามีกติกามากกว่าของเราครับ

ตามหลักศาสนายิวซึ่งเรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่าศาสนายูดาย (Judaism) อาหารที่คนยิวจะรับประทานได้ต้องเป็นอาหารที่เรียกว่าโคเชอร์ (Kosher)

อาหารที่ว่านี้มีกติกากำกับทั้งประเภทอาหารและวิธีเตรียมการ

ยกตัวอย่างแต่พอหอมปากหอมคอนะครับ

คนยิวจะรับประทานเนื้อสัตว์ได้ก็แต่เฉพาะที่มีกีบและเคี้ยวเอื้องเท่านั้น เช่น วัว แพะ แกะ และกวาง

เพราะฉะนั้น ตามกติกานี้หมูสอบตก รอดตัวไป ส่วนสัตว์ปีกนั้นได้หมดครับ ไม่ว่าจะเป็นไก่ เป็ด หรือห่าน จัดเข้ามาได้เลย

ถ้าเป็นสัตว์น้ำก็ต้องมีเกล็ดหรือมีครีบ ดังนั้น ปลาส่วนใหญ่ก็เข้ากติกานี้ ส่วนหอย กุ้ง หรือลอปสเตอร์ ยิวจะไม่ยุ่งเกี่ยวครับ ต่างคนต่างอยู่

วิธีฆ่าสัตว์ก็ต้องถูกตามกติกานะครับ เช่น ถ้าเป็นวัวก็ต้องเชือดให้ตายในเวลาอันสั้นเพียงแค่ 2 วินาที ถ้าผิดไปจากนี้ก็ไม่ใช่อาหารโคเชอร์ คนยิวรับประทานไม่ได้ครับ

พอรู้อย่างนี้แล้วเวลาชวนเพื่อนไปกินข้าวหรือเขาชวนเราไปกินข้าว เราก็ต้องช่วยเขารักษากติกา

เช่น ไม่ไปวิงวอนหรือชักชวนให้เขากินกุ้งกินหอยซึ่งผิดต่อหลักศาสนาของเขา ประพฤติเช่นนี้แล้วก็จะคบกันได้ยาวครับ

หลังจากเรียนหนังสือจบจากนิวยอร์กกลับมาอยู่เมืองไทยแล้วผมก็ไม่ค่อยได้พบกับคนยิวบ่อยครั้งนัก

เคยได้ข่าวอยู่บ้างเหมือนกันว่าแถวถนนข้าวสารมีโบสถ์ยิวอยู่หลังหนึ่ง และมีร้านอาหารที่ขายอาหารโคเชอร์อยู่ย่านนั้นด้วย

แต่ก็ยังไม่เคยแวะไปลองรับประทานดูสักที

เมื่อวานนี้ผมมีโอกาสกินข้าวมื้อกลางวันกับอดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศอิสราเอล

ท่านเล่าอะไรให้ฟังน่าสนใจครับ

ข้อใหญ่ใจความก็คือ แผ่นดินอิสราเอลนั้นเป็นดินแดนแล้งและกันดาร คนยิวต้องใช้ความอดทนและสติปัญญามากเพื่อจะเอาชีวิตรอด

ตัวอย่างเช่น น้ำเป็นของหายาก จะปลูกพืชผักอะไรโดยใช้วิธีรดน้ำกันโครมครามอย่างบ้านเราเห็นจะไม่ได้

นี่เองเป็นเหตุให้เขาคิดระบบชลประทานน้ำหยดขึ้นมาได้ หยดทีละนิดทีละน้อย

มีเครื่องมือปักอยู่หัวแปลงท้ายแปลงคอยตรวจสอบว่าเวลานี้พืชผักที่เขาปลูกได้น้ำเพียงพอหรือขาดแคลนอย่างไร

ว่าแล้วคุณเจ้าของแปลงผักก็กดปุ่มคอมพิวเตอร์ส่งสัญญาณทางไกลไปทำให้ระบบน้ำหยดทำหน้าที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงตามที่ต้องการ สบายบรื๋อครับ

พืชผักที่จะปลูก ยิวก็ต้องวิจัยว่าอะไรจะเหมาะสำหรับดิน สำหรับน้ำ สำหรับอากาศเมืองเขามากที่สุด ที่สุดแล้วก็สรุปว่ามีอยู่สามอย่าง คือ อินทผลัม มะเขือเทศ และพริกหวาน

ว่าแล้วก็ปลูกกันเป็นล่ำเป็นสัน มะเขือเทศนั้นปลูกและส่งออกไปขายต่างประเทศจนได้รับความนิยมมากมายในตลาดยุโรป เป็นที่ชื่นชอบกันทั่วไป

ยิวเลี้ยงวัวก็ต้องวิจัยครับ วิจัยว่าทำอย่างไรจึงจะได้นมที่ดีมีคุณภาพและมีปริมาณมาก เขาค้นพบว่าวัวไม่ชอบอากาศร้อน ถ้าอากาศร้อนแล้วนมวัวก็มีน้อย

วิธีแก้ปัญหาของเขาง่ายมาก เขาทำโรงขนาดใหญ่ขึ้นสองหลัง

โรงแรกเอาวัวนมเข้าไปยืนไว้แล้วพ่นน้ำเป็นฝอยสุหร่ายให้วัวตัวเปียกตั้งแต่หัวตลอดหาง

ผ่านขั้นตอนนี้แล้วก็ต้อนเอาวัวเข้าไปโรงที่สอง

ในโรงนี้มีพัดลมขนาดใหญ่พ่นลมใส่วัวทั้งฝูง จนวัวตัวเย็นเคลิบเคลิ้มดี ทำอย่างนี้บ่อยเข้าวัวก็มีน้ำนมมากเพื่อสนองความต้องการของเจ้าของโรงโคนมได้สมปรารถนา

ฟังท่านทูตเล่าแล้วผมอดถามไม่ได้ว่า เคยมีใครไปสัมภาษณ์วัวไหมครับว่ามันชอบหรือเปล่า ท่านทูตทำหน้าเจื่อนๆ แล้วเลยพูดถึงเรื่องอื่นต่อไป

แหะ แหะ

คราวนี้ท่านเล่าถึงชีวิตที่รับราชการอยู่ที่เมืองนั้นว่า ทั้งที่บ้านและที่สถานทูตต้องมีห้องหรือหลุมหลบภัยที่เตรียมพร้อมไว้สำหรับเอาชีวิตรอดอยู่เสมอ

เพราะบ่อยครั้งที่เมื่อมีสัญญาณไซเรนดังขึ้น นั่นแปลว่าบรรดาอมิตรประเทศที่อยู่รอบล้อมอิสราเอลได้ยิงจรวดเหาะเหินเดินอากาศเข้ามาแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็จะมาถึงกรุงเทลอาวีฟ

ในเวลาที่มีจำกัดนี้เราก็รีบวิ่งไปลงหลุมหลบภัยเสีย ระหว่างนั้นฝ่ายทหารยิวก็ยิงจรวดขึ้นไปสกัดกั้น และก็สกัดได้ทุกลูกเลยครับ ฝีมือเขามีถึงขนาดนั้น แต่ข้างฝ่ายเราเพื่อความไม่ประมาท วิ่งไปลงหลุมหลบภัยไว้ก่อนเห็นจะดี

พระพุทธเจ้าท่านสอนมาตั้งแต่ครั้งโน้นแล้วว่า ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย

ท่านบอกว่ามีช่วงหนึ่งมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นติดต่อกัน 40 วัน วันละสามสี่รอบ ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ฮา!

เมื่อราวสิบปีมาแล้ว ผมเคยไปประเทศอิสราเอลอย่างเป็นทางการมาครั้งหนึ่ง แวะไปประชุมที่กระทรวงต่างประเทศของเขา ห้องประชุมหน้าตาเหมือนตู้เซฟธนาคารครับ ประตูหนาเป็นฟุต ไม่มีหน้าต่าง มองไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแต่อย่างไร แต่เจ้าของบ้านรับรองว่าปลอดภัยแน่ แม้ระหว่างเราประชุมพูดคุยกัน ใครจะยิงจรวดข้ามฟ้าเข้ามาก็ไม่สะดุ้งสะเทือน

โดยรวมแล้วผมจึงเห็นว่าคนยิวเขาผ่านพบอุปสรรคมามาก กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ อุปสรรคนี้เองทำให้คนยิวต้องแข็งแกร่งและต้องหาทางเอาชีวิตรอดให้จงได้ ทั้งฝ่ายบู๊ทั้งฝ่ายบุ๋นจึงต้องทำงานเต็มที่ นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย พ่อค้าพาณิชย์ ครูบาอาจารย์ หรืออาชีพอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นฝ่ายพลเรือนต้องทำหน้าที่ของตัวเองไม่ให้บกพร่อง ฝ่ายทหารต้องพร้อมรบตลอดเวลา

คนไทยเรานี้ไปไหนคนก็รัก ไม่มีใครเกลียดชัง ดินฟ้าอากาศก็พอเหมาะพอสม ปลูกอะไรก็ขึ้นงอกงาม

บางทีความสบายเกินไปนี่ก็อันตรายนะครับ