ทวีปที่สาบสูญ : หากอ้อมแขนเดิมจะไม่รองรับไว้ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

“พี่ยังไม่กินข้าวอีกเหรอ”

เด็กหญิงพะนาเข้ามายืนจ้องหน้า ขณะที่ฉันกำลังตั้งอกตั้งใจล้างถ้วยชามในกะละมังอยู่ โดยไม่ได้เงยมอง ฉันแค่ปาดแขนเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

“ยังไม่หิว”

“ได้ยินเสียงท้องพี่ร้องนะ”

ฉันเพิ่งสังเกตว่า พะนาพูดภาษาไทยกลางอย่างแปร่งๆ แต่ถึงจะพูดคำถิ่นก็ฟังแปลกๆ อีกเช่นกัน ฉันเคยได้ยินสำเนียงเช่นนี้จากหมู่เด็กดอยที่บ้านเกิด เหมือนไม่อาจออกเสียงบางตัวสะกดได้

แต่น้ำเสียงนั้นก็ฟังจริงใจ และแฝงความห่วงใยจนรำคาญไม่ออก

“พี่ไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวหนูล้างต่อให้เอง”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

ปฏิเสธพลางวางแก้วกาแฟลงในถาด เด็กหญิงกุลีกุจอเข้าช่วย

เป็นยามบ่ายจัดๆ ที่นักท่องเที่ยวชุดใหญ่ลงไปแล้ว ยังมีคนหลงเหลือชมสวนดอกไม้อยู่บ้าง แต่ดูท่าทางคงไม่มานั่งกินกาแฟกันอีก ร้านที่จะยังขายดีคือหมู่ที่ขายของฝากของที่ระลึกซึ่งหิ้วกลับไปได้ มีด้วยกันหลายร้าน เรียงรายอยู่ใกล้ลานจอดรถด้านล่าง

ทางที่จะมาสู่ร้านเรานั้น สวนไม่อนุญาตให้เอารถยนต์ขึ้น นอกเสียจากจะเป็นรถของเจ้าหน้าที่ในโครงการ สักบ่ายสามครึ่งเป็นต้นไปจึงได้เวลาเตรียมเก็บของปิดร้าน แต่ถ้ามีคนยังหลงเข้ามา อีพี่สร้อยสายก็สั่งว่าต้องรีบเอาสตางค์ไว้ก่อน

นักท่องเที่ยวจะมากันตั้งแต่แปดโมงครึ่งถึงสี่โมงครึ่ง แต่ซื้อบัตรได้ถึงแค่สามโมงครึ่งเท่านั้น ส่วนวันไหนที่สวนปิด เจ้าหน้าที่จะแจ้งประกาศล่วงหน้า

สำหรับวันนี้ อีพี่สร้อยสายกลับลงไปตั้งแต่บ่ายสองโมง โดยกำชับเอาไว้ว่า ขายได้เท่าใด ให้เอาเงินใส่ขวดโหลไว้

“มึงอย่าหวังจะโกงกูได้นะอีพี่ ของในร้านมีเท่าใดกูนับลงบัญชีไว้หมด ขาดทุนมาจะหักเงินมึงสองคนเท่าๆ กัน”

ตั้งแต่ยินอัมพรเรียกฉันด้วยชื่อเดิม อีพี่สร้อยสายก็เปลี่ยนมาเรียกเช่นนั้นบ้าง

ทุกครั้งที่ฟังคำพูดดักหน้าดักหลังก็ให้นึกขุ่นใจ แต่จะทำอย่างไรได้ สถานะลูกจ้างกับนายจ้าง ได้แต่ฟังไปเท่านั้น

ขวดโหลพลาสติกฝาสีแดง มีสตางค์ใบแดงใบเขียวและเหรียญมากมาย วางไว้บนชั้นไม้ภายในร้าน

“หิวอีกหรือเปล่าล่ะ” ฉันนึกใจอ่อนกับพะนาขึ้นมา เพราะรู้ดีว่า ตัวเด็กหญิงเองก็คงกินมื้อเที่ยงได้แค่ไม่กี่คำ ความที่เป็นช่วงขายดี กินๆ อยู่ ถ้ามีคนเข้าร้านก็ต้องรีบลุกไปบริการ

แปดโมงครึ่งเป็นต้นไป จะเป็นเวลาที่ลูกค้าหลั่งไหลกันขึ้นมาเที่ยวชมสวน และทุกคนต้องเดินผ่านร้านของเราที่ตั้งอยู่บนไหล่ทาง

“หิวเหมือนกัน” พะนากลืนน้ำลาย

เด็กหญิงกับฉันคงจะอายุไล่เลี่ยกัน แต่กลับเหมือนตัวฉันเป็นผู้ใหญ่มากกว่า ไม่ว่าจะด้วยความสูง สีหน้า หรือวิธีพูดจาต่างๆ กระทั่งในที่สุดพะนาก็เรียกฉันว่าพี่

และตัวอีพี่สร้อยสายเองยังออกปาก

“อีนาก็ดูง่าวเงอะเซอะซะ ยังกับอายุเก้าขวบสิบขวบ ส่วนมึงก็แก่แดดแก่ลม ดูซิ อีพี่! มึงหัดยิ้มให้คนเขาบ้าง ไม่ใช่ใครมาซื้อของก็แป๋งหน้าหยั่งกับหมาสวก!”

ทุกครั้งที่อยู่ใกล้อีพี่สร้อยสาย เป็นต้องได้นับหนึ่งถึงร้อยเพื่อข่มกลั้นจิตใจ พะนาคงยิ่งกว่าฉัน เด็กหญิงกลัวอีพี่สร้อยสายอย่างเห็นได้ชัด

จนฉันเองก็อดนึกเวทนาไม่ได้

 

“งั้นกินอะไรกันหน่อยก็ดี” แววตาพะนาทำให้ฉันเอ่ยปากในที่สุด

หยัดตัวลุกจากม้านั่งเตี้ย ยังเจ็บแปล๊บที่ท้องน้อย พยายามหนีบขาค่อยๆ ยืนขึ้น หวั่นใจอยู่เงียบๆ ว่า สิ่งที่พยายามทำไว้จะพังทลายหรือเปล่า

พะนาเบิกตาโพลง

“…พะ พี่”

“อะไร?”

สายตาพะนามองยังก้นฉัน เท่านั้น ก็รู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไร

…ห่าเอ๊ย เลือดเลอะอีกแล้วแน่

“…พี่เป็นอะไร”

ฉันพยายามแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า

“…แถวนี้มีร้านของขายบ้างมั้ย”

“มีอยู่ข้างล่าง พี่จะเอาอะไร” พะนาตอบ สายตายังจ้องฉันอยู่ไม่ลดละ

“ไปซื้อโกเต๊กให้หน่อยได้หรือเปล่า”

“อ๋อ…เลือดมาเหรอ ตกใจหมดเลย” พะนายิ้มออก และพอยิ้ม สีหน้าก็ซื่อใสบริสุทธิ์จนอดนึกถึงน้องไม่ได้

ใจฉันอ่อนลงอีก

“ต้องไปไกลหรือเปล่า” อีกไม่นานก็จะได้เวลาปิดร้านกันแล้ว

“ไม่ไกล เดี๋ยวหนูไปซื้อให้ เดี๋ยวเดียว…มาเยอะเลยสิ เลอะเทอะไปหมดเลย”

“ของเธอมาบ้างหรือยัง” อดถามไม่ได้

“มานานแล้ว” พะนาตอบ “พอมีเลือดแล้วพ่อก็เอายาให้หนูกินเลย พี่มียากินหรือเปล่า”

“ยาอะไร” ฉันมองดูเด็กหญิง

“ยาแก้ประจำเดือนไง” พะนาตอบ “ถ้าเราไม่กินจะเป็นโทษทีหลัง จะป่วยง่าย พอป่วยก็จะตายเร็ว รักษาไม่หาย”

ฉันยืนอึ้งตะลึงอยู่ จนพะนาวิ่งหายลับไปกับโค้งมุมถนนที่ลาดต่ำลงไป

อะไรคือยาแก้ประจำเดือน…ใจนึกตงิดๆ ว่าต้องมีอะไรผิดสักอย่าง แต่ฉันก็ยังคิดไม่ออกว่ามันคืออะไร

เจ็บแปล๊บมาอีกเรื่อยๆ เหมือนแผ่นเอวแผ่นหลังจะหลุดขาดจากกันเสียให้ได้ ความเหนอะหนะในซอกขายังไหลหลั่ง

ผ้าถุงที่ฉีกทบมัดกับขอบเอวคงจะรับเลือดต่อไปไม่ไหว

ไม่รู้อุปาทานหรือมันเป็นความจริง ฉันได้กลิ่นคาวของตัวเองคละคลุ้งไปหมด

 

พะนายังไม่มาเสียที ขณะที่ฉันพยายามสะกดใจให้นิ่งรอ ตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ดีว่าเป็นไม้ คงจะเช็ดรอยเปื้อนออกได้ไม่ยาก รู้ดีว่าตอนนี้ก้นคงจะแดงแจ๊ดแจ๋ หวังเพียงว่าจะไม่มีใครเข้าร้านมา

ที่สำคัญ อีพี่สร้อยสายคงไม่ย้อนกลับมา

หวนนึกถึงตอนเช้ามืด ตื่นจากเตียงนอนอันแข็งกระด้าง เลือดยังไหลไม่หยุดสาย และบางส่วนแข็งค้างเป็นคราบติดต้นขา ตัดใจลุกเข้าห้องส้วม พยายามค่อยๆ วักน้ำเข้าเช็ด น้ำก็เย็นเฉียบสิ้นดี อีกมองทางไหนก็เห็นแต่ความเก่าโทรม

แมงมุมบางตัวยังไต่อยู่บนใยของมัน

คงไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่านี้แล้วล่ะ บอกกับตัวเองซ้ำๆ

กลับออกจากส้วม ฉันใช้ฟันกัดปลายผ้าซิ่น แล้วลงมือฉีกมันตามรอยวิ่น ออกแรงจนได้ผ้าผืนยาวเป็นแผ่นๆ ทบซ้อนกันเข้า

โกเต๊กจำเป็นของฉัน

ด้วยผ้าถุงเหล่านั้น ฉันกางขาออก ยัดมันแนบเข้าไป ดึงปลายทาบหน้าท้อง ใช้อีกผืนมัดเอวตัวเองไว้ หาวิธีทบผ้าให้รัดกันแน่นหนาที่สุด เท่าที่จะทำได้ หวังใจว่าอย่างน้อยคงจะพอประทังไปได้ จนกว่าจะได้ไปซื้อผ้าอนามัย

แต่ตลอดวันกลับหาช่องว่างแทบไม่ได้ ตอนอีพี่สร้อยสายยังอยู่ ยิ่งไม่อาจหลบเลี่ยงทางใด ฉันต้องพยายามยืนและเดินอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้านั่ง รู้ตัวว่าต้องคอยหนีบขาให้ชิดกันไว้ ท้องก็ปวดไม่หาย หน่วงรั้งลงถึงลำขา

จนอีพี่สร้อยสายไป นักท่องเที่ยวสร่างซา ค่อยได้หย่อนก้นลงนั่งล้างของ ตอนนั้นกระมังที่ผ้ารับเลือดต่อไปไม่ได้แล้ว

พะนาไปไหนกันนะ ถึงยังไม่มาสักที

ฉันไม่ได้กินข้าวแต่เช้า ความที่กังวลกับเลือดประจำเดือนตัวเอง และไม่กล้าแม้จะนั่งลงกินพร้อมกับพะนา เสแสร้งว่าขยันทำนั่นทำนี่ไม่หยุด ซึ่งอีพี่สร้อยสายก็ดูจะพออกพอใจ ไม่ถามไถ่สักคำว่าเป็นอย่างไร

ฉันก็ไม่คาดหวังอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับอีกคนหนึ่ง

…มึงหวังอะไรหรืออีพี่ คำถามผุดลอยขึ้นมา

มึงหวังว่า…มันจะรู้สึกรู้สากับมึงยังไงหรือ

มีความเจ็บปวดปะทุขึ้นอีก และหนนี้ ชัดเจนเหมือนมีมีดกำลังบั่นควั่นอยู่ภายใน ยังเจ็บซ่าน ทรมานอย่างไม่เคยพบเคยเจอ

…มันคืออะไร ทำไมถึงได้รู้สึกขนาดนี้

มีหัวของใครสักคนเดินเลียบขึ้นเนินมา เพ่งตามอง โล่งใจขึ้นเมื่อคิดว่าจะต้องเป็นพะนา แต่แล้วก็ไม่ใช่

คนผู้หนึ่งเดินสะพายกล้องสีดำๆ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขน ปล่อยชาย กางเกงยีนส์สีตุ่นกับรองเท้าผ้าใบ

ร่างสูง ดูดีไปหมดทุกส่วนร่างกาย

แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน

“…อ้าว เฮ้ย”

แว่วเสียงอุทาน ฉับพลันที่รู้สึกว่าโลกมืดมัวลงในชั่วพริบตา ฉันรู้สึกเหมือนแขนขาตัวเองกลายเป็นขี้ผึ้งไหวเหลว ตัวฉันกำลังจะละลาย

“…น้อง”

มีแขนสอดเข้ามารองรับฉันไว้ วินาทีก่อนที่จะร่วงหล่นลงไปในหลุมมืดกว้างดำ ฉันจดจำได้แค่แววตาที่เบิกจ้องเข้ามาในตาฉัน

เวลาสั้นๆ ที่พยายามกะพริบตาเปิด

 

“ฟื้นแล้ว!”

พะนาตะโกนออกมา และฉันก็ถูกดึงขึ้นอย่างรวดเร็วจากหลุมลึกที่กำลังร่วงตกลงไปเรื่อยๆ…จากกลิ่นที่จ่อเข้ามาจนติดจมูก จนต้องรีบหายใจเข้าไป

…กลิ่นกุหลาบที่หอมกำซาบเหลือแสน

แต่มีใบหน้าหนึ่งซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน กำลังชะโงกจ้องฉัน ใกล้ๆ กันกับใบหน้าตื่นตระหนกของพะนา

ตาสีน้ำตาลที่ยังนึกไม่ออกว่าจะเทียบกับอะไร

“ได้ผลจริงๆ ด้วยแฮะ” คนผู้นั้นหันไปพูดกับพะนา

ฉันเห็นดอกกุหลาบขนาดใหญ่ กลีบสีชมพูซ้อนแน่น ส่งกลิ่นหอมเข้มข้นแม้ในยามที่มันบอบช้ำ หลายกลีบร่วงกระจาย

“อ้าว พี่เลือดออกนี่” พะนาร้องออกมาอีก

มีหยดสีแดงเล็กๆ บนฝ่ามือนั้น

มือที่รวบกุหลาบอยู่

เพื่อกดดอกไม้กับปลายจมูกของฉัน

“โดนหนามเข้าจนได้” แต่คำพูดยังฟังไม่คณนาอันใด

ความอับอายแล่นขึ้นหน้า เมื่อฉันเริ่มมีสติสัมปชัญญะกลับมา ถึงจะยังมึนหัวอยู่งุนงง แต่ก็รู้ว่าตัวเองเพิ่งวูบไป

“ไม่เป็นไร หายแล้ว”

รีบพรวดพราดลุกขึ้น แต่ก็อีกหนหนึ่งที่ผืนดินยังไหวสะเทือนอยู่โยกเยก จนเกือบล้มลงไปอีก หากอ้อมแขนเดิมจะไม่รองรับไว้