ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 สิงหาคม 2562 |
---|---|
ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
เผยแพร่ |
วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร
สัมพันธ์ลับ เยื่อใยเร้นลึก (7)
ระหว่างซีรี่ส์ “ทำเนียบหลางหยา” หรือ Nirvan in Fire กับหนังสือ “บุรุษบูรพา ทำเนียบหลางหยา” มีจุดต่างกันเล็กน้อยแต่ก็เริ่มด้วยฉากที่ไท่หวงไท่โฮ่วเรียกเข้าพบเหมือนกัน
มิได้เรียกเข้าพบยัง “ตึกกลาง” หากแต่เป็น “ตึกหน่วนเก๋อ”
ไท่หวงไท่โฮ่วคือพระอัยยิกาขององค์จักรพรรดิ ทรงพระชนม์กว่า 90 ชันษา ไม่ทรงก้าวก่ายงานราชการบ้านเมือง ดังนั้น พระทัยปลอดโปร่งพระชนมายุยืนยาว เพราะปกติทรงโปรดให้เด็กๆ รุ่นหลังวนเวียนข้างพระวรกาย
นอกจากบรรดาข้าหลวงนางกำนัลและขันทีรับใช้ทั้งหลายแล้ว ด้านข้างพระวรกายยังประทับอยู่ด้วยสตรี 4 คน
คนแรกบนเก้าอี้ประธานฉลองพระองค์สีเหลืองประดับมงกุฎหงส์ บุคลิกสุภาพเยือกเย็นเป็นเหยียนหวงโฮ่ว (พระมเหสีแซ่เหยียน) ข้างขวาของเหยียนหวงโฮ่วเป็นสตรีแต่งงานแล้วเกล้ามวยผมสูง ท่านนี้คือพระมารดาขององค์รัชทายาท เยว่กุ้ยเฟย (พระสนมชั้นเอกแซ่เยว่)
ข้างซ้ายเหยียนหวงโฮ่วเป็นสตรีอ่อนวัยผู้หนึ่งสวมอาภรณ์เรียบง่าย แต่งหน้าอ่อนบาง รูปโฉมแม้ไม่จัดว่าสวยสะคราญ บุคลิกกลับองอาจห้าวหาญ โดดเด่นสง่างาม สตรีสูงศักดิ์ทั้งหมดในห้องกลับไม่มีสักคนที่ข่มราศีของนางได้
คาดว่านอกจากหนีหวงจวิ้นจู่แล้วเกรงว่าไม่มีผู้ใดอีก
การเข้าเฝ้าและสนทนาระหว่างไท่หวงไท่โฮ่วกับบรรดาชนรุ่นเยาว์อาจเริ่มจากประโยคเดิมๆ นั่นก็คือ แต่งงานแล้วหรือยัง ตามมาด้วยอย่างนั้นก็เร่งมือเข้า
แต่ในกรณีของเหมยฉางซูดำเนินไปอย่างมีลักษณะพิเศษ
สายพระเนตรของไท่หวงไท่โฮ่วเบี่ยงเบนไปที่ร่างของเหมยฉางซู ลากมือเขาให้เข้ามาใกล้ๆ ทอดพระเนตรมองพลางแย้มพระสรวลให้
“เสี่ยวซูห์หรือ” ตรัสถามด้วยคำถามเดียวกันด้วยพระสุรเสียงคลุมเครือ
“แต่งงานแล้วหรือยัง”
นั่นเป็นในหนังสือ “บุรุษบูรพา ทำเนียบหลางหยา” แต่เมื่อเป็นซีรี่ส์ Nirvan in Fire กลับเป็นการเรียกหนีหวงจวิ้นจู่กับเหมยฉางซูให้มานั่งเรียงเคียงข้างกัน
เอามือเหมยฉางซูวางบนมือของหนีหวงจวิ้นจู่
สร้างความแปลกใจให้กับหนีหวงจวิ้นจู่เป็นอย่างสูง กระทั่งพยายามจะดึงมือออกแต่เหมยฉางซูไม่ยินยอม
ยิ่งกว่านั้นยังอยู่ที่สุรเสียงที่เรียก “เสี่ยวซูห์” แทนที่จะเป็น “เสี่ยวซู”
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอยู่ที่ เมื่อไท่หวงไท่โฮ่วเสด็จกลับวังพักผ่อน เหมยฉางซูคิดว่าการเบิกตัวเข้าเฝ้าเป็นกรณีพิเศษคงจบลงด้วยดีแต่เพียงเท่านี้
รู้สึกคลายใจลงบ้างก่อนสาวเท้าออกจากตึกหน่วนเก๋อพร้อมกับทุกคน
แต่เพิ่งเดินถึงหน้าบันไดพลันได้ยินเสียงร้องเรียกหวานใสของสตรีดังมาทางเบื้องหลัง “ท่านซู โปรดรั้งเท้า”
แม้นางเพียงเรียก “ท่านซู” แต่ทุกคนที่ได้ยินต่างหยุดชะงัก พร้อมใจกันหันหน้ากลับ
หนีหวงจวิ้นจู่เดินตรงมาหาด้วยท่วงท่าสง่างามตามแบบฉบับผู้แกร่งกล้า คล้ายไม่แยแสสายตาจำนวนมากที่กำลังจับจ้องมอง
ตรงดิ่งถึงเบื้องหน้าเหมยฉางซูแล้วแย้มยิ้มส่งให้
“ในตึกหน่วนเก๋ออึดอัดเกินไปไม่เหมาะกับชนชาวทหารเช่นข้า ท่านซูหากไม่ถือสา เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าถึงระเบียงด้านนั้น ชมดูการแข่งขันด้านล่างด้วยกันสักครู่ได้หรือไม่”
อย่าว่าแต่ท่านนี้เป็นหนีหวงจวิ้นจู่ซึ่งโด่งดังทั่วหล้า ต่อให้เป็นสตรีธรรมดาสามัญก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ ดังนั้น เหมยฉางซูตอบรับด้วยรอยยิ้มแล้วหันไปสั่งเฟยหลิวเบาๆ ก่อนเดินทอดน่องเอื่อยเฉื่อยไปตามระเบียงยาวพร้อมกับหนีหวงจวิ้นจู่
“ท่านซู” ประกายตาแวววับของหนีหวงจวิ้นจู่เคลื่อนมาที่ใบหน้าด้านข้างของเหมยฉางซู
“เมื่อวานรอคอยอยู่ที่จวนหนิงกั๋วโหวเป็นเวลานาน ได้ยินว่าท่านสุขภาพไม่ดีจึงไร้วาสนาพบหน้า ดูจากสีหน้าในวันนี้คล้ายหายเป็นปกติแล้ว”
แน่นอน การสนทนาเป็นเรื่องที่เราท่านรับรู้ในเรื่องคำยกย่องของ “ทำเนียบหลางหยา” นั่นเอง
มีเยื่อใยบางอย่างอันเร้นลับสะท้อนความห่วงใยอย่างลึกซึ้งที่หนีหวงจวิ้นจู่มีต่อชะตากรรมอันจะบังเกิดกับเหมยฉางซู สัมผัสได้จากประโยคที่ว่า
“เปลวเพลิงขุมนี้ถูกจุดขึ้นมานานแล้ว ข้าขอเตือนให้ท่านเลือกไว้สักข้างหนึ่งโดยเร็ว”
นั่นก็คือ การเลือกระหว่างรัชทายาท กับ อวี้อ๋อง เหตุผลก็คือ “อย่างน้อยก็มีข้างหนึ่งคุ้มครองท่าน ดีกว่าทั้ง 2 ข้างต่างพากันถอดใจแล้วจับมือกันมาตามฆ่าท่าน”
น้ำเสียงของหนีหวงจวิ้นจู่เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “ท่านจะเลือกใคร รัชทายาทหรืออวี้หวัง”
หว่างคิ้วเหมยฉางซูปรากฏแววทระนงถือดีขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนสลายไปอย่างรวดเร็ว กลับสู่สภาพชายหนุ่มขี้โรคที่ซูบซีดคนเดิม