“ชูศักดิ์” ชี้ มติผู้ตรวจฯสอดคล้องญัตติของพรรคร่วมฝ่ายค้าน หวัง ศาลรธน.รับไว้วินิจฉัย

“ชูศักดิ์” ชี้ มติผู้ตรวจการแผ่นดินสอดคล้องกับญัตติของพรรคร่วมฝ่ายค้านปมขออภิปรายทั่วไป ตามรธน. ม.152 หวัง ศาลรธน.รับไว้วินิจฉัย

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานคณะทางานด้านกฎหมายพท. กล่าวถึงกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีมติให้ส่งเรื่องพร้อมความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยกรณีนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน ถูกต้องว่า เมื่อพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการถวายสัตย์ปฏิญาณของคณะรัฐมนตรีที่ผู้ตรวจการ แผ่นดินได้พิจารณา มีอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.กรณีคำร้องของนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า การถวายสัตย์ปฏิญาณ เป็น “การกระทา” มิใช่เป็น “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย” จึงไม่มีประเด็นให้พิจารณาว่า ข้อความหรือ ถ้อยคาถวายสัตย์มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยได้และยังเห็นว่า การถวายสัตย์เป็นการกระทาตามกระบวนขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มิใช่การกระทาทาง ปกครองที่จะส่งให้ศาลปกครองได้พิจารณาวินิจฉัย จึงมีมติไม่เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในส่วนนี้ตน เห็นด้วยกับความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน จุดนี้เองที่ทาให้เห็นปัญหาว่ากฎหมายยังมีช่องว่างเกี่ยวกับ อานาจของศาลในการที่จะวินิจฉัยว่าการกระทาใดขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับ “การกระทาตามรัฐธรรมนูญ” และ 2.กรณีคำร้องของนายชูพงศ์ ชูรักษ์ ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 161 เป็นบทบัญญัติให้ต้องกระทำตามกระบวนการขั้นตอนก่อนที่คณะรัฐมนตรีเข้ารับหน้าที่ ถือเป็นเรื่อง สำคัญ นอกจากจะทาตามกระบวนการแล้วต้องถวายสัตย์ด้วยถ้อยคาที่บัญญัติไว้ให้ครบถ้วน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การถวายสัตย์มีถ้อยคำขาดหายไป จึงเป็นการกล่าวถ้อยคำถวายสัตย์ที่ไม่ ครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เป็นการกระทาที่ขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงเป็นอันใช้บังคับมิได้ ตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 อันส่งผลให้การปฏิบัติ หน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ รวมถึงปัญหาการ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ร้องเรียน เป็นเหตุให้ผู้ร้องเรียนได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะ เดือดร้อนหรือเสียหาย โดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ จึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ มาตรา 46 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพของผู้ร้องเรียน ตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ จึงมีมติส่งเรื่องพร้อมความเห็นนั้นไปให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มติในเรื่องนี้ตนเห็นด้วย และ ส.ส. ฝ่ายค้านที่ได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติก็มีความเห็นเช่นนี้ การที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน เสนอเรื่องพร้อมความเห็นไปยังศาล รัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยนั้นจะเป็นผลดีกับทุกฝ่ายเพราะเมอื่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นประการใดก็จะ ถือเป็นข้อยุติ ถือเป็นบรรทัดฐานต่อไป

“แต่สิ่งที่เป็นห่วงก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญจะรับเรื่องของผู้ตรวจการ แผ่นดินไว้พิจารณาหรือไม่เท่านั้น เพราะกรณีการอ้างมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ เคยมีผู้ยื่นคำร้องไป เป็นจำนวนมาก โดยยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาแต่ข้อเท็จจริงในกรณีนี้เป็นการยื่นคำร้องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินและมีมติให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่ มีความสำคัญมาก หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาก็จะเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญต่อไปสำหรับ คณะรัฐมนตรีและทุกฝ่าย” นายชูศักดิ์ กล่าว