ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 สิงหาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | เรื่องสั้น |
ผู้เขียน | เวิ้งหมาบ้า |
เผยแพร่ |
“นั่ง”
ชายคลุมหน้ามิดชิดเห็นแค่ดวงตาสองดวงก้าวเข้ามาในห้องของผมพลางสั่ง ผมนั่งลงกับพื้นอย่างว่าง่าย
“อยู่มาหลายสิบปีแล้วนี่ เคยทำประโยชน์อะไรให้อพาร์ตเมนต์หรือเปล่า?”
ชายคลุมหน้าถามพลางมองโน่นนี่ในห้องพักผมอย่างสำรวจตรวจตรา
“ประโยชน์อะไรเหรอ…” ผมถามกลับงงๆ
“ชิ้นนั้นนายเอาไปได้” ชายคลุมหน้าชี้มือไปที่ผ้าเช็ดเท้าเก่าๆ สกปรกหน้าห้องน้ำ
“ทำไมผมต้องทำประโยชน์ ผมจ่ายค่าเช่าแล้วไง… อะไรนะ?”
ผมพูด และยิ่งงงหนักขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็มีชายคลุมหน้าอีกสองคนเดินตามเขาเข้ามาแล้วเริ่มเอาแผ่นกระดาษติดตามเครื่องเรือนต่างๆ ในห้อง โดยบนแผ่นกระดาษเหล่านั้นเขียนว่า – อายัด
ชายคลุมหน้าคนแรกหันไปพูดอะไรไม่รู้กับชายอีกสองคน แล้วคนหนึ่งก็เดินเข้าไปในห้องนอนผม
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน!”
ผมหลุดปากตะโกนด้วยตกใจแล้วเลยทะลึ่งตัวเหยียดยืนขึ้น
“นั่ง!” ชายคลุมหน้าคนแรกสั่งผมด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ผมนั่งลงกับพื้นทันที
“หมอบ!” ชายคลุมหน้าสั่งอีก ผมเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นหมอบราบแล้วแหงนหน้าขึ้นมองเขา เขามองตาผมแล้วสั่งว่า
“คอย!”
พอได้ยินคำสั่งนั้นผมก็ตัวแข็งอยู่กับที่ ขณะที่ชายคลุมหน้าทั้งสามคนพากันเดินไปเดินมาในห้องพักของผมอย่างสบายอกสบายใจ รื้อโน่นรื้อนี่ ทำเหมือนเป็นบ้านตัวเอง ก่อนจะทยอยขนข้าวของส่วนตัวของผมออกไปทีละชิ้นๆ ทั้งคอมพิวเตอร์ เสื้อผ้า ทีวี ตู้เย็น พัดลม โซฟา หนังสือ ฯลฯ
จนห้องพักของผมว่างโล่ง (โดยเหลือแต่ผ้าเช็ดเท้าเก่าๆ สกปรกหน้าห้องน้ำ) นั่นแหละ พวกชายคลุมหน้าจึงนั่งลงพักผ่อนบนพื้นห้องข้างๆ ผม คุยโน่นนี่กันเรื่อยเปื่อย
คนหนึ่งเล่าว่า เมื่อคืนวานนี้เขาเข้าไปยึดข้าวของในห้องพักชั้นสิบอย่างไร และผู้หญิงในห้องพักนั้นสวยและเซ็กซี่ขนาดไหน เล่าว่าเขาใช้วิธีไหนข่มขืนเธอ โดยที่เธอเองไม่รู้ตัวเลยว่าถูกข่มขืน
ส่วนอีกคนเล่าว่า เขาไปหลอกตบทรัพย์คนยากจนในหมู่บ้านชนบทมาเป็นจำนวนหลักล้านได้อย่างไร โดยที่คนจนๆ เหล่านั้นยังรู้สึกสำนึกในบุญคุณของเขาจนบัดนี้จนถึงกับติดรูปเขาใส่กรอบไว้หน้าหมู่บ้านด้วยซ้ำ
แล้วจู่ๆ ชายคลุมหน้าคนแรกที่เป็นเหมือนหัวหน้าก็เดินออกไปจากห้อง สักพักจึงกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษขนาดใหญ่ที่เขียนตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ว่า CLEAN FOOD GOOD PEOPLE ผมเห็นไม่ชัดว่าเขาหยิบอะไรออกมาจากถุง
แต่ได้กลิ่นเหม็นรุนแรงอย่างประหลาด
ชายสามคนนั่งล้อมวงกินอาหารกันโดยไม่มีใครเอาผ้าคลุมหน้าออก เสียงสนทนาเริ่มดัง และสิ่งที่คุยกันก็เริ่มเลอะเทอะฟังไม่เป็นเรื่องเป็นราว แต่จับใจความได้คร่าวๆ ว่าเหมือนทั้งหมดกำลังนินทาเจ้านายใหญ่ ยิ่งกินก็ยิ่งเสียงดังอ้อแอ้เหมือนคนเมา ทั้งที่ไม่มีใครกินเหล้าเลย
ผ่านไปจนย่ำค่ำ จนท้องฟ้านอกหน้าต่างกลายเป็นสีดำสนิท ชายสามคนก็หลับใหลไม่ได้สติอยู่ในห้องพักผมเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ สามร่าง
ผมเงยหน้า ยกลำตัวขึ้นแล้วยันกายลุกขึ้นจากพื้นช้าๆ อย่างกลัวๆ ว่าจะทำให้พวกเขารู้ตัวตื่น แต่ก็ไม่มีใครรู้สึกตัว จนผมย่ามใจเปิดไฟในห้องทุกห้องจนสว่าง ก็ยังไม่มีใครขยับตัวอยู่นั่นเอง
ผมมองไปที่ชายคนที่เป็นหัวหน้า นึกถึงสุ้มเสียงที่คุ้นหูของเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะค่อยๆ ย่องเข้าไปเปิดผ้าคลุมหน้าของเขาออก เขายังนอนหงายนิ่งสนิท หน้าตาของเขาก็เป็นแบบชายไทยธรรมดาในวัยใกล้เกษียน แต่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเคยเห็นเขามาก่อนนานมากแล้ว เสียแต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
มีกระเป๋าคาดเอวใบเขื่องวางอยู่ข้างกายชายคนนั้น เขาคงทำตกหรือคงวางไว้แบบไม่ใส่ใจ ผมหยิบมาเปิดดูก็ตกใจที่เห็นแบงก์พันเป็นปึกๆ ทำไมเขาถึงมีเงินมากขนาดนี้ แล้วคนอื่นๆ เล่า?
ผมกวาดตามองไปที่พื้นห้องรอบๆ แล้วก็พบว่ามีกระเป๋าลักษณะเดียวกันนี้วางอยู่อีกสองใบ พอลองเปิดดูก็พบว่าแต่ละใบมีเงินไม่น้อยไปกว่ากันเลย
ถึงจะงงๆ แต่ผมก็พอเข้าใจได้ว่าผมคงไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในห้องพักนี้อีกต่อไปแล้ว แล้วจู่ๆ ความเศร้าก็จู่โจมเข้าใส่ผมอย่างฉับพลันจนน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง
เอาเถอะ ไม่อยู่ก็ไม่อยู่
แต่ผมจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงเล่า? ข้าวของสมบัติต่างๆ ก็ถูกยึดหายไปไหนหมดแล้วไม่รู้
หยิบเงินออกมาจากกระเป๋านั้นปึกหนึ่ง ผมตัดสินใจทำสิ่งผิดกฎหมายเป็นครั้งแรกของชีวิต เอาเหอะ อย่างมากก็ถูกจับได้ ติดคุก? แล้วไง? ติดก็ติดสิวะ เออ แต่หรือว่าผมจะแกล้งขัดขืนการจับกุมให้เจ้าหน้าที่ยิงให้ตายๆ ไปเลยจะดีกว่าไปทรมานในคุกมั้ยนะ?
ตายไปเลยก็ดีมั้ง!
เออ คิดได้แบบนี้ผมก็โล่งใจ กำเงินปึกนั้นในมือแน่น คิดว่าไหนๆ วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายของชีวิตแล้ว ก็จะทำทุกอย่างที่เคยอยากทำเสียที วันนี้แหละ ที่ผมจะกินให้เต็มอิ่ม กินของหรูๆ แพงๆ ดีๆ เอาให้เต็มคราบไปเลย แล้วก็ซื้อทุกอย่างที่ผมเคยอยากได้
คิดได้ยังงั้นผมก็เดินตัวปลิวออกมาจากห้อง ลงบันไดตึกอย่างร่าเริงและคิดถึงอาหารชนิดต่างๆ ที่เคยอยากกิน คิดถึงของที่อยากซื้อ ลอยละล่องออกมาที่ถนนใหญ่ด้วยอาการของคนที่เป็นอิสระชเสรีอย่างที่สุด
แสงไฟวิบวับที่หัวมุมแสดงชื่อร้านอาหารเป็นภัตตาคารหรูหราที่ผมเคยอยากเข้ามานานแล้ว ผมยิ้มกว้างจนแทบจะหัวเราะ เอาละวะ! วันนี้แหละผมจะเป็นเศรษฐีให้ไอ้บริกรทั้งหลายที่เคยมองผมด้วยสายตาเหยียดหยามได้เห็นกันสักที! พวกเอ็งคอยก้มกราบข้าได้เลย!
เดินตรงเข้าไปที่ทางเข้ากว้างใหญ่ประดับประดาเต็มไปด้วยกระจกสี ผมเปิดประตูก้าวขาเข้าไปแล้วก็ต้องผงะ เมื่อพบว่าบรรยากาศในร้านไม่ได้เป็นแบบที่ผมคิด และเป็นเพียงโถงกว้างๆ ยังกับหอประชุมหน่วยงานอะไรสักอย่างในสมัยก่อนที่เก่าและโทรมมาก มีผ้าแพรสีผูกประดับเป็นช่วงๆ อย่างเชยบรม และพื้นร้านก็สกปรกเต็มไปด้วยฝุ่นและเศษขยะ
สภาพโต๊ะอาหารยิ่งยับเยิน แต่ละตัวมีรอยขูดขีดเปื้อนสีดำสีเขียวสกปรกจากอะไรไม่รู้ เก้าอี้ก็หักๆ พังๆ พอผมหันหลังจะเดินออก บริกรคนหนึ่งก็โผล่มาจากไหนไม่รู้พลางผายมือให้ผมเดินกลับเข้าไปในร้าน พลางขยับเก้าอี้ให้นั่งจนผมปฏิเสธไม่ลง
“รับอะไรดีขอรับคุณท่าน”
แต่อย่างน้อยบริกรนั่นก็ยังนอบน้อมดี ผมคิดในใจพลางมองไปรอบๆ เห็นบนผนังร้านมีป้ายยี่ห้อเก่าแก่เขียนด้วยตัวหนังสือแบบโบราณเชยๆ ว่า – อร่อยวันจันทร์ – ส่วนผนังอีกด้านมีทีวีจอใหญ่ติดตั้ง ไม่รู้ผีห่าซาตานที่ไหนดลใจ ผมโพล่งตอบไปด้วยความเคยปากง่ายๆ ว่า
“ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวจานนึงครับ”
“ได้เลยครับ”
แล้วบริกรนั่นก็เดินลิ่วออกไปอย่างรวดเร็วจนผมยั้งไว้ไม่ทัน ในใจคร่ำครวญว่ามึงโง่เหลือเกินที่มาสั่งกะเพราไก่แดกในขณะที่มีเงินเป็นล้านอยู่ในกระเป๋า
ผมขยับตัวอย่างอึดอัด พนักงานอีกคนหนึ่งเห็นอย่างนั้นก็คิดเอาเองว่าผมคงอยากดูทีวี เลยกดรีโมตเปิดให้ บนจอปรากฏภาพการรายงานสดเหตุการณ์จลาจลบนท้องถนน ฝูงชนจำนวนมากแบ่งฝักฝ่ายเป็นเหลือง-แดงสองสีกำลังปะทะกันอย่างรุนแรง มีควันไฟ มีเสียงปืน
ภาพตัดไปที่ถนนหลายสาย มีอยู่แวบหนึ่งที่ผมเห็นภาพบริเวณหน้าภัตตาคารแห่งนี้คลาคล่ำด้วยฝูงชนที่กำลังทะเลาะเบาะแว้งกันวุ่นวายยุ่งเหยิง จึงแปลกใจอย่างยิ่งที่เมื่อกี้ตอนที่ผมเดินเข้ามาท้องถนนนั้นว่างเปล่าและไม่เห็นมีเหตุการณ์อะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย
อดไม่ได้เลยเหลียวไปดูทางประตูภัตตาคาร ก็ไม่เห็นว่าจะมีเสียงหรือมีวี่แววของการจลาจลอย่างที่ทีวีกำลังรายงานสดอยู่นี้เลย
อร่อยวันจันทร์หรือ? ผมกวาดตามองผ่านป้ายที่เห็นตอนแรก พลางนึกสงสัยว่าวันนี้วันอะไรนะ?
แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ บริกรคนเดิมก็เดินกลับมาพร้อมถาดอาหารในมือ แล้วจัดแจงวางจานข้าวผัดกะเพราลงบนโต๊ะข้างหน้าผมและตามด้วยช้อนส้อม
“ผมขอพริกน้ำปลาด้วยได้มั้ยครับ?”
ผมถามเมื่อเห็นเขาทำท่าจะเดินกลับออกไป เขาชะงักนิดหนึ่ง แล้วตอบว่า
“ไม่ได้”
ผมผงะ งุนงงกับคำตอบที่ห้วนสั้น พอก้มหน้าลงมองจานข้าวก็ยิ่งตกใจที่พบว่าข้าวนั้นบูดและส่งกลิ่นเหม็นแล้ว ส่วนผัดกะเพราที่ราดมานั้นก็มีแต่เศษกระดูกไก่อยู่สามชิ้น ที่ร้ายกาจที่สุดคือไม่มีใบกะเพราแม้แต่ใบเดียว แล้วยังงี้จะเรียกว่าผัดกะเพราได้ยังไง ส่วนไข่ดาวที่สั่งไปนั้นไม่มีปรากฏให้เห็น
“โทษนะครับ” ผมพยายามพูดเสียงดังหน่อยอย่างเกรงใจเรียกบริกร เขาเดินเข้ามาหาผมช้าๆ ท่าทางไม่เต็มใจ ผิดกับตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด
“คือว่าข้าวมันบูดแล้วน่ะครับ” ผมบ่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไร
“เดี๋ยวเรียกพ่อครัวมาคุย รอเดี๋ยว!” บริกรตอบห้วนอีก แล้วก็เดินหายไปหลังร้านอย่างหัวเสีย
“ทำไม!” มีเสียงใครก็ไม่รู้ดังลั่นมาจากหลังร้าน จากนั้นก็ปรากฏร่างใหญ่ของคนที่น่าจะเป็นพ่อครัวเดินนำบริกรคนเดิมออกมาอย่างรวดเร็ว ก้าวเดินอาดๆ ตรงมาทางผมอย่างจะหาเรื่อง
“ทำไม! ไม่พอใจอะไร!” พ่อครัวคิ้วหนาหน้าสี่เหลี่ยมตวาดใส่ผมเสียงดังอย่างหูแทบแตก
“คือว่า… ผัดกะเพรา…” ผมอึกอัก
“เออ ผัดกะเพรา แล้วทำไม! พูด!” พ่อครัวตะคอก
“มันไม่มี…ใบกะเพราอ่ะครับ” ผมพูดเสียงสั่นอย่างจะร้องไห้
“ก็แหงละ! ก็ใบกะเพรามันฉุน ผัดทีเหม็นไปทั้งร้าน จะไปใส่มันทำไม!” พ่อครัวตวาดใส่หน้าผมอีก น้ำลายกระเด็นด้วย
“แต่ผัดกะเพรามันต้องใส่ใบกะ…”
“กูไม่ใส่! จะทำไม!” พ่อครัวชี้หน้าผมพลางถลึงตาใส่อย่างกับจะฆ่าผมไปในบัดเดี๋ยวนั้น
“ไข่ดาวก็ไม่มี ผมสั่ง…”
“ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยย!” พ่อครัวตะโกนลั่นเหมือนฟิวส์ขาดหมดสิ้นความอดทนทั้งหลายแล้วก็ยกตีนขึ้นถีบโต๊ะข้างหน้าผมล้มลงไปพร้อมกับจานข้าวที่หล่นลงไปแตกเสียงดังเพล้ง
“ไม่แดกก็อย่าแดก!!!!!!”
ผมนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเก้าอี้ด้วยความรู้สึกปวดร้าวสิ้นหวัง หลับตาปี๋รอคอยความตาย พลางคิดว่าชีวิตมนุษย์นี้ช่างไม่มีสาระคุณค่าอะไรเลย… อยู่ไปก็เท่านั้น…
แต่อีกไม่กี่นาทีต่อมา ผมก็พบตัวเองออกมายืนเคว้งคว้างอยู่บนท้องถนนว่างเปล่าหน้าภัตตาคารแห่งนั้น
มองไปทุกทิศทางเห็นแต่ความมืดและเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงลมพัด
ส่วนเงินปึกนั้นหายไปหมดแล้ว หายไปอย่างไรก็ไม่รู้
ชีวิตมนุษย์นี่ช่างไร้สาระและว่างเปล่าเสียจริง…