อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ความรู้สึกนึกคิดหลังพวงมาลัย

เมืองในหมอก (16)

ทั้งคู่ออกเดินทางแต่เช้าตรู่ มุ่งหน้าไปทางตะวันออก ให้แสงตะวันอยู่เบื้องหน้าเราในยามเช้าและอยู่ด้านหลังเราในยามเย็น นายหมอกสีเทากล่าวกับหญิงสาวผู้นั้น

รถยนต์ของพวกเขาเป็นรถยนต์มือสอง ไม่ใหม่นักแต่ก็ไม่เก่าคร่ำคร่าจนแลดูน่าสมเพชและสิ้นหวัง

นายหมอกสีเทานำเงินเก็บของเขาที่มีเดินไปตามท้องถนน รถยนต์แทบทุกคันบนท้องถนนล้วนติดป้ายประกาศขาย ไม่มีใครเดินทางกันอีกต่อไป ไม่มีใครคิดจะใช้รถยนต์กันอีกแล้ว

นายหมอกสีเทาเพียงแต่เลือกรถยนต์ที่เหมาะสมกับเงินของเขา โทรศัพท์ไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ติดไว้ตรงหน้ากระจก ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทุกอย่างก็เรียบร้อยลง

การเกิดขึ้นของโทรศัพท์มือถือและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในนั้นทำให้ชีวิตที่ต้องต่อสู้กับหมอกควันบรรเทาเบาบางลง

คุณสามารถสั่งอาหาร และสิ่งของทั้งหลายที่คุณต้องการผ่านทางโทรศัพท์มือถือ

คุณสามารถชมภาพยนตร์ ฟังเพลงได้ผ่านโทรศัพท์มือถือ

คุณสามารถสนทนาแบบเห็นหน้าตากับคู่สนทนาได้ผ่านโทรศัพท์มือถือ คุณสามารถใช้บริการด้านธนาคาร ด้านไปรษณีย์ได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ในชีวิตแต่ละวันหากจะหลงเหลือบุคคลที่สัญจรไปมาบนท้องถนนก็คือผู้คนที่รับผิดชอบในสิ่งเหล่านี้นี่เอง

พวกเขาอยู่ในชุดปกป้องตนเองไม่ต่างจากคนที่ทำงานในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ปิดหน้า ปิดตา ขับขี่รถจักรยานยนต์ ส่งสินค้า ส่งอาหาร เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า

นายหมอกสีเทาเรียกผู้คนเหล่านี้ว่า “ผีเสื้อ” ในช่วงเวลาที่เขายังทำงานในโรงงานผลิตหน้ากากป้องกันมลพิษนั้น เขาจะนั่งมอง “ผีเสื้อเหล่านี้บินผ่านไปผ่านมา”

พลางกับตั้งคำถามว่าในที่สุดแล้วเมื่อโลกเข้าสู่วิกฤต มนุษย์กลับถอยหายเข้าไปสู่มุมที่อ่อนแอ พวกเขาไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากการแสวงหาทางรอดให้ตนเอง และปล่อยให้โลกผุพังลงไป

มีแต่ผีเสื้อที่เปราะบางเหล่านี้เท่านั้นที่ทำให้โลกยังดำรงและขับเคลื่อนไปข้างหน้าอยู่ได้

 

แต่การดำรงอยู่เช่นนั้นคือความหลอกลวง ความอ่อนแอ นายหมอกสีเทาคิดถึงเรื่องราวเช่นนั้นอยู่เสมอ

หากคุณมีทางหลบหนีที่มากพอ หากคุณมีทางหลีกเลี่ยงที่มากพอ คุณจะแข็งขืนกับสิ่งต่างๆ น้อยลง คุณจะต่อต้านสิ่งต่างๆ น้อยลง

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังเผชิญกับการจราจรที่ติดขัด แต่ภายในรถของคุณมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน

คุณมีเครื่องเสียงที่ดีภายในรถยนต์

คุณมีอุณหภูมิที่สุขสบายภายในรถยนต์

คุณมีอุปกรณ์การทำงานที่สะดวกสบายภายในรถยนต์

ความรู้สึกในการหาทางแก้ปัญหาการจราจรแบบยั่งยืนและจริงจังของคุณย่อมลดน้อยลงหรือไม่มีเลย

เช่นเดียวกันแม้ว่าหมอกควันจะปกคลุมเมือง แม้ว่าหมอกควันจะรุกรานความปลอดภัยทางชีวิตในเมือง

แต่เมื่อคุณสามารถหลบหนีมันเข้าไปในพื้นที่ปลอดภัย

แต่เมื่อคุณสามารถพาตัวเองหลบหายไปอยู่ในพื้นที่ที่คุณมีความสะดวกสบาย อาหารที่ถูกส่งมา ความบันเทิงที่ถูกส่งมา คุณอาจอยู่ในหลุมหลบภัย

แต่เป็นหลุมหลบภัยที่มีความสะดวกสบาย ณ ที่นั้นเอง

น้อยครั้งที่คุณจะเปิดหน้าต่างเพื่อมองดูท้องฟ้า คุณไม่คิดหาทางแก้ปัญหา คุณไม่คิดหาหนทางต่อสู้กับมัน

สภาวะการถูกกล่อมเกลาและถูกทำให้เชื่องเช่นนี้ทำให้หมอกควันดำรงอยู่ได้อย่างเนิ่นนาน

ผู้คนปรับตัวเข้ากับมัน ยักไหล่ให้กับมัน

หมอกควันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ขจัดไม่ได้ ทางออกของเราคือปรับตัวเข้ากับมัน หน้ากาก เครื่องป้องกัน การเก็บตัว ทุกอย่างสามารถใช้รับมือหมอกควันได้ ผู้คนพบวิธีอยู่ร่วมกับมัน พวกเขามีชีวิตใหม่เป็นชีวิตใหม่ที่ปราศจากการตรวจสอบว่าพวกเขาได้สูญเสียสิ่งใดไป

ชีวิตอันมีคุณค่า สังคมที่มีคุณภาพ มิตรภาพ การสังสันทน์ สิ่งเหล่านี้สูญหายไปจากการปรับตัวเพียงแต่พวกเขาไม่ได้คิดถึงมัน ตราบใดก็ตามที่พวกเขายังมีชีวิตรอดอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้

 

การสร้างเงื่อนไขดังกล่าวนี้แทบไม่แตกต่างจากการตกอยู่ในสภาพที่ถูกคุมขัง

นายหมอกสีเทาคิดถึงผีเสื้ออีกครั้งหนึ่ง คุณคิดถึงคำว่าอิสรภาพในฐานะที่คุณยังเคลื่อนไหวได้แต่ทว่าคุณกลับไม่ได้คิดถึงอิสรภาพจากทางเลือกและการเลือก คุณมีทางเลือกน้อยลงเต็มที คุณได้เลือกอะไรน้อยลงเต็มที และทุกสิ่งที่คุณเลือกล้วนถูกหยิบยื่นจากผู้ที่มีอำนาจเหนือทั้งสิ้น

อิสรภาพของคุณมีอยู่จริงแต่เป็นอิสรภาพที่ปลอมแปลง ไม่จริงและไม่จีรัง มันเป็นอิสรภาพที่คุณเป่ามันให้พองไม่ต่างจากลูกโป่ง หากลูกโป่งนั้นแตกไป

คุณจะพบว่าอิสรภาพของคุณมีลักษณะไม่ต่างจากเศษยางเก่าๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง พ้นจากอากาศอันบางเบาใช้ประโยชน์ไม่ได้ภายในลูกโป่ง คุณแทบไม่มีอะไรที่เป็นจริงอยู่ในมือเลย

นายหมอกสีเทาขบคิดเรื่องเหล่านี้ขณะที่ขับรถยนต์ไกลออกไป ไกลออกไปจากเมือง

หญิงสาวผู้นั้นนั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างเขา ความต้องการจะไปให้พ้นสุดขอบของหมอกควันและมลพิษเป็นสิ่งที่พวกเขาทั้งคู่คิดว่ามันคือทางออก

แต่เมื่อลงมือปฏิบัติ พวกเขาจึงพบว่ามันจำต้องอาศัยหลายสิ่งที่จะกระทำให้มันเป็นจริงขึ้นได้

พวกเขาจะเดินทางไกลสักเพียงไหน ทิศตะวันออกนั้นสามารถไปได้จนสุดทางหรือไม่ หลังการเกิดขึ้นของหมอกควัน ไม่มีใครสำรวจสิ่งเหล่านี้อีกเลย

เครื่องบินไม่ทำการบินอีกต่อไป

รถยนต์โดยสารระหว่างเมืองถูกตัดขาด ผู้คนจากดินแดนอื่นไม่มาอยู่ที่นี่ ผู้คนในที่นี่ไม่เดินทางไปยังดินแดนอื่น

พวกเขาเชื่อว่าหมอกควันปกคลุมพวกเขาเป็นวงกว้างจนแม้ว่าการเดินทางก็ไม่อาจพาพวกเขาพ้นออกจากมันได้

ในที่สุดฉันจะติดอยู่ที่ใดสักแห่งที่ยังมีหมอกควันและสถานที่แห่งนั้นจะไม่มีผู้คนที่ฉันรู้จักด้วยซ้ำไป นั่นคือความหวาดกลัวและทำให้ทุกคนล้มเลิกการเดินทาง

ดังนั้น การเดินทางของพวกเขาทั้งคู่จึงเป็นดังการท้าทายแรกๆ ที่เกิดขึ้นหลังการรุกรานของหมอกควัน พวกเขาคือนักสำรวจกลุ่มแรก ไม่ต่างจากโคลัมบัส วาสโก ดากาม่า นีล อาร์มสตรอง หรือแม้แต่ อองรี มูโนต์

เพียงแต่ว่าสิ่งที่พวกเขาออกสำรวจในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่ออาณานิคม

ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า

ไม่ใช่เพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

การสำรวจในครั้งนี้ของพวกเขาเป็นไปเพื่อชีวิตของพวกเขาเองและชีวิตของผู้คนอื่นๆ ในเมือง

 

รถยนต์ของพวกเขาจอดชาร์จไฟเป็นครั้งแรกที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งเมื่อหนึ่งร้อยกิโลเมตรผ่านไป

ปลั๊กไฟสำหรับชาร์จอยู่ติดที่เสามีป้ายแจ้งเตือนที่ชัดเจน

นายหมอกสีเทาลงจากรถเป็นครั้งแรก เขาจัดแจงชาร์จไฟจนเต็ม โอนเงินให้กับผู้ให้บริการผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะทดลองปลดหน้ากากป้องกันมลพิษที่เขาสวมอยู่

อากาศภายนอกยังเลวร้ายไม่ต่างจากอากาศในเมือง

ระยะทางหนึ่งร้อยรัศมีหนึ่งร้อยกิโลเมตรแล้วแต่จะเรียกยังเป็นระยะที่ไม่ปลอดภัย

นายหมอกสีเทาหยิบสมุดพกเล็กๆ ออกจากกระเป๋าเสื้อจดรายละเอียดดังกล่าวลงในสมุด “ต้องไปต่ออีก ไปต่ออีก แต่ยังไม่อาจรู้ระยะที่แน่นอนได้” นายหมอกสีเทาบันทึกเช่นนั้น

ดวงตะวันเดินทางไปอยู่ด้านหลังของพวกเขาและรถยนต์ของพวกเขาแล้ว แต่นายหมอกสีเทาและหญิงสาวผู้นั้นไม่มีใครที่รู้สึกถึงความหิวโหย

พวกเขาจ้องมองไปเบื้องหน้า มองผ่านกระจกใส ถนนที่ปราศจากผู้คน บ้านเรือนที่ปราศจากผู้คน มีคำเล่าลือว่าผู้คนในเขตที่ห่างออกไปจากเมือง ผู้คนที่ไม่คิดหลบหนีและอพยพหนีหมอกควันเหล่านี้นับตั้งแต่ตอนแรก ล้วนเสียชีวิตลงหมดแล้ว

หลายคนที่อ้างว่าเป็นผู้รอดชีวิตเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์เหล่านั้น

หมอกควันมาถึงอย่างรวดเร็ว หนาแน่นขึ้นและหนาแน่นขึ้น ในที่สุดก็ปิดบังทุกอย่าง ครอบงำทุกอย่าง ผู้คนหายใจได้ลำบาก ล้มป่วย และเริ่มต้นเสียชีวิต

ภาพเหตุการณ์เหล่านี้แทบไม่แตกต่างจากการบุกรุกของกาฬโรคในประวัติศาสตร์

แทบไม่ต่างจากการบุกรุกของอหิวาต์ในประวัติศาสตร์ ทุกผู้คนล้วนดิ้นรนหาทางเอาตัวรอด หากแต่นี่ไม่ใช่โรคติดต่อ

มันคือหายนภัยจากสิ่งแวดล้อม โรคติดต่อเมื่ออาละวาดจนถึงที่สุดมันจะค่อยๆ จากไป แต่วิกฤตจากสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจะดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง

จนกว่าจะมีใครบางคนหรือใครหลายคนลุกขึ้นหาหนทางขจัดมัน

 

จวบจนเวลาค่ำ รถยนต์ของพวกเขาจึงจอดลงอีกครั้งหนึ่ง ในครานี้ไม่ใช่เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ หากแต่เพื่อการกินอาหารร่วมกัน หญิงสาวผู้นั้นเปิดตะกร้าที่อยู่ทางเบาะหลัง หยิบอาหารที่ถูกบรรจุในกล่องพลาสติกสองกล่องออกมา ทั้งคู่ทานอาหารอย่างเงียบๆ และช่วงเวลานั้นเองที่นายหมอกสีเทาพบว่าทั้งคู่ไม่ได้มีบทสนทนากันเลยตลอดทาง มีแต่ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง

ในตอนแรก นายหมอกสีเทาคิดว่าเป็นเพราะพวกเขารู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่ภายใต้พื้นที่อันคับแคบเดียวกัน แต่แล้วเขาก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่คำตอบ สิ่งที่พวกเขาทั้งสองคนรู้สึกเมื่อการเดินทางคืบหน้าไปก็คือ

“นี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วหรือไม่?

มีหลักประกันใดว่าพวกเขาจะพบคำตอบและหนทางแก้ปัญหา และหากพวกเขาไม่พบสิ่งเหล่านั้นเล่า อะไรที่รอพวกเขาอยู่ ความตาย ความล้มเหลว หรือการพลัดพราก”

สิ่งเหล่านี้เองที่หนักอึ้งอยู่ในจิตใจของพวกเขา มันเป็นดังสัมภาระขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นที่กดอยู่บนบ่าของพวกเขาเพียงแต่ไม่มีใครเอ่ยมันออกมาดังๆ

นายหมอกสีเทาวางกล่องอาหารลง เขาทานมันไปได้เพียงครึ่งเดียว เขารู้ดีว่าสถานการณ์แบบนี้เขาไม่ควรทำให้อาหารกลายเป็นของสิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์

แต่เขาไม่อาจทานอะไรได้อีกต่อไป เขาเอนหลังลงกับเบาะ มองไปเบื้องหน้าและช่วงเวลานั้นเองที่หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายตาของเขาที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลง

“มีรถยนต์หนึ่งคันกำลังแล่นมาหาเรา”