ติดค้างมาจากปลายปีที่แล้ว กับรถรุ่นหนึ่งที่ผมมีโอกาสทดสอบและค่อนข้างชอบพอในความอเนกประสงค์ แต่ด้วยจังหวะที่ต้องนำรถรุ่นอื่นๆ มานำเสนอก่อน โดยเฉพาะ 2 ฉบับก่อนหน้านี้ที่เสนอรถใหม่ในปี 2560 ซึ่งมีตัวเลือกค่อนข้างเยอะทีเดียว

แถมปีนี้แต่ละค่ายน่าจะซัดกันสนุก เนื่องจากคาดการณ์กันว่ายอดขายรถเมืองไทยน่าจะหรูเฟร่อ กว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยบวกหลายๆ ประการ ทั้งภาพรวมเศรษฐกิจที่น่าจะสดใสมากขึ้น หรือรถคันแรกที่ครบการถือครอง 5 ปีสามารถเปลี่ยนมือได้

รถรุ่นที่ผมมีโอกาสทดสอบช่วงปลายปีที่แล้ว คือ “เซียนต้า” รถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งจาก “โตโยต้า”

รถรุ่นนี้เปิดตัวในไทยช่วงเดือนสิงหาคม 2559 ถือว่าสร้างกระแสได้ไม่น้อย

ก่อนหน้านี้ที่เข้ามาคือ “วิช” รถเอ็มพีวีขนาดกลาง ยอดขายพอไปวัดไปวาได้ แต่นำเข้ามาแค่เจเนอเรชั่นเดียวก็หยุดไป

ส่วนรถครอบครัวรุ่นถัดมา “อินโนวา” ที่ทำตลาดควบกับคู่แฝดคือปิกอัพ “วีโก้” และพีพีวี “ฟอร์จูนเนอร์”

รถครอบครัวแบบเอ็มพีวี ขนาดเล็กของโตโยต้า เมืองไทยไม่ค่อยได้เห็นสักเท่าไหร่ จะมีที่ใกล้เคียงหน่อยคือ “อาแวนซ่า” รถอเนกประสงค์ราคาค่อนข้างถูก

แถมการเข้ามาของเซียนต้า ได้จังหวะเหมาะเหม็งที่ไม่มีคู่แข่งในตลาดเลยก็ว่าได้

เพราะ “ฮอนด้า ฟรีด” คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อก็หยุดสายพานการผลิตไปก่อนแล้ว

เซียนต้า เจเนอเนชั่นล่าสุดนี้ วางขายในญี่ปุ่นและอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2558 รุ่นขายในเมืองไทยนำเข้ามาจากอินโดนีเซียเช่นกัน เนื่องจากรถประเภทนี้เป็นที่นิยมในอินโดนีเซีย จึงกลายเป็นฐานการผลิตใหญ่ไปโดยปริยาย

ในเมืองไทยเซียนต้านำมาจำหน่าย 2 รุ่นคือ “1.5 V” ซึ่งเป็นรุ่นท็อป และ “1.5 G”

ที่ผมได้มาทดสอบเป็นรุ่นท็อป “สีส้ม” สีซิกเนเจอร์ของรุ่นนี้

เซียนต้า เป็นรถที่ออกแบบภายนอกมีลูกเล่นค่อนข้างเยอะ เนื่องจากแนวคิดได้แรงบันดาลใจจาก “Urban Trekking Shoes” หรือ “รองเท้าเดินป่าสมัยใหม่” สะท้อนให้เห็นถึงคนรุ่นใหม่ที่รักการท่องเที่ยว ประกอบกับไลฟ์สไตล์ที่มีความหลากหลาย จนกลายเป็นเมนหลักในการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์

กระจังหน้าขนาดใหญ่สีดำพร้อมโลโก้ ต่ำลงมาเป็นช่องดักลมสีดำ มีเส้นสีดำเชื่อมชายล่างกับไฟหน้าแบบโปรเจ็กเตอร์ Bi-Beam LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime Running Lights แบบ LED

กระจกมองข้างพับ/ปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว

ประตูผู้โดยสารตอนหลังสไลด์ข้างแบบอัตโนมัติ ปิดด้วยระบบไฟฟ้า สามารถเปิด-ปิดได้จากที่นั่งคนขับ

ประตูด้านท้ายขนาดใหญ่ มีเส้นสายสีดำบริเวณชายล่างลากเชื่อมไปยังไฟท้ายทั้ง 2 ด้าน

ด้วยสีส้มและตัดคาดด้วยดำออกมาค่อนข้างลงตัว มีทั้งความสดใสและดูสนุกสนาน

ภายในถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุดเนื่องจากเป็นรถครอบครัว จึงมีความอเนกประสงค์มากกว่าเก๋ง

ที่ชัดเจนคือช่องวางแก้ว-เก็บของต่างๆ มีมาให้ครบทุกที่นั่ง รวมไปถึงช่องเฉพาะสำหรับเก็บ หรือเสียบ “สมาร์ตโฟน” ที่กลายเป็นอีกอวัยวะหนึ่งของคนไทยและทั่วโลกไปแล้ว

พวงมาลัย 3 ก้านระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่เหมาะมือเดินด้ายสีส้ม พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น

มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron ดูแปลกตาสักหน่อยเพราะเป็นทรงรีออกยาวๆ ด้านซ้าย-ขวา เป็นมาตรวัดความเร็ว และรอบเครื่องยนต์ พร้อมจอแสดงข้อมูลขับขี่ MID (Multi-information display) แบบ TFT

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ควบคุมอุณหภูมิแบบ Digital บนเพดานเจาะช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

ตรงกลางเป็นจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมเครื่องเล่น DVD / CD / MP3 / WMA และแสดงภาพจากกล้องมองขณะถอยหลัง

ส่วนผู้โดยสารหากอยากได้ความบันเทิง เซียนต้า มีอ็อปชั่นพิเศษจอ LED ขนาด 8 นิ้ว ติดตั้งบนเพดานให้ด้วย

บริเวณคอนโซลหลังพวงมาลัยติดปุ่มสตาร์ตอัจฉริยะ (Push Start) และระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry) สำหรับเปิดปิดประตูสไลด์ด้านข้าง

รุ่นท็อปประตูเปิดสไลด์ไฟฟ้าทั้ง 2 ด้าน ส่วนอีกรุ่นไฟฟ้าแค่ด้านซ้าย

อย่างที่บอกช่องเก็บของ-วางแก้วติดตั้งมาให้เพียบ รวมถึงอุปกรณ์มาตรฐานในรถโตโยต้ารุ่นหลังๆ คือ กล่องรักษาความเย็น (Cool Box) ติดตั้งที่ด้านหน้า

ใช้เกียร์อัตโนมัติขั้นบันไดแบบ CVT พร้อมระบบ Sport Sequential Shift 7 สปีด

ส่วนเบาะนั่งเป็นหนังสีดำแทรกด้วยสีอิฐ เดินด้ายสีส้ม ที่เท้าแขนข้างประตูบุวัสดุอ่อนนุ่มสีส้มเช่นกัน

ที่นั่งแถว 2 และ 3 พับปรับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ โดยแถว 3 สามารถพับเก็บราบไปกับพื้นห้องโดยสารหาเบาะนุ่มๆ มาปูน่าจะเป็นที่ครึกครื้นของเจ้าตัวเล็กได้สบายๆ

หรือจะใช้วางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ แล้วแต่สะดวก

ส่วนเบาะแถว 2 สามารถขยับเดินหน้า-ถอนหลังเพิ่มพื้นที่วางขา หรือจะพับตลบไปด้านหน้าชิดกับเบาะคู่หน้า เพิ่มพื้นที่บรรทุกสำหรับของยาวๆ

การนั่งเบาะแถว 3 หากจะให้สบายหน่อยต้องขยับเบาะ 2 ไปด้านหน้าให้สุด

ภาพรวมถือว่าอเนกประสงค์พอตัวสำหรับครอบครัวขนาดเล็กถึงขนาดกลาง

กดปุ่มสตาร์ตเสียงเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC 16 4 สูบ วาล์ว DUAL VVT-i ให้กำลังสูงสุด 108 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 140 นิวตัน-เมตร คำรามไม่ดังมากนัก

การออกตัวไม่หวือหวามากนัก แต่ไม่ได้อืดจนน่ารำคาญ

เกียร์เปลี่ยนได้ราบรื่น ระหว่างการขับอาจต้องระมัดระวังในการวางน้ำหนักเท้า เพราะหากกดเร็วเกินไประบบจะเชนจ์เกียร์ให้ทันที เสียงเครื่องคำรามให้จับรู้สึกได้

แต่หากวางน้ำหนักแบบเนียนๆ เกียร์จะเปลี่ยนสูงขึ้นแทบไม่รู้สึก

การเชนจ์เกียร์เพื่อลดความเร็วหรือต้องการแรงเพิ่มขึ้นจะเพิ่มน้ำหนักที่คันเร่ง หรือจะเปลี่ยนที่เกียร์ก็ทำได้ง่ายๆ เพียงตบเข้าหาตัวคนขับจะเปลี่ยนเป็นเกียร์ธรรมดา ผลักขึ้น(+) ลง(-)

อัตราเร่งช่วงต้น-กลางมาได้เร็ว ระดับ 120 ก.ม./ช.ม. แค่แว้บเดียวเท่านั้น แต่มากกว่านั้นต้องรอสักหน่อย

แต่ว่าก็ว่าเถอะครับรถประเภทนี้ ตัวถังลักษณะนี้ ไม่เหมาะกับการทำความเร็วอยู่แล้ว

ด้วยความที่รูปร่างกำลังเหมาะ ความยาวพอๆ กับเก๋ง ความสูงก็ไม่ได้เวอร์วัง บวกกับทัศนวิสัยถือว่ายอดเยี่ยมเพราะกระจกบานใหญ่ การขับขี่ในเมืองคล่องตัวมากๆ ประตูบานสไลด์ เพิ่มความสะดวกให้ผู้โดยสารได้เยอะหากจอดในซองแคบๆ เช่น ตามห้างสรรพสินค้า

ด้วยความที่รถไม่ได้สูงมากนัก การเข้าโค้งหรือกระชากเปลี่ยนเลนแรงๆ ตัวช่วยอย่างระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control) ช่วยได้เยอะ

นอกจากนี้ มีอีกหลายระบบที่เพิ่มความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรก ABS, ระบบเสริมแรงเบรก BA หรือระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HAC

ส่วนการเดินทางต่างจังหวัดไปสัก 5-6 คน ยืนพื้นความเร็วสัก 100 ก.ม./ช.ม. หรือสูงกว่านั้นนิดหน่อยถือว่าสบายๆ อยู่

ยิ่งหากดูราคาถือว่าน่าคบหา รุ่นท็อป 1.5 V เกียร์อัตโนมัติ 865,000 บาท และ 1.5 G เกียร์อัตโนมัติราคา 750,000 บาท