รู้จักพระราชาผู้นับถือพระพุทธศาสนาองค์แรก

สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (12)

พระราชาผู้นับถือพระพุทธศาสนาองค์แรก

ถ้าถามว่าพระราชาผู้นับถือพระพุทธศาสนาองค์แรกคือใคร

นักเรียนที่เรียนวิชาพระพุทธศาสนาคงตอบได้ว่าคือพระเจ้าพิมพิสาร

แต่ถ้าใครตอบไม่ได้ก็ไม่ว่ากัน เพราะผู้ใหญ่ที่จบสูงกว่านักเรียนมัธยมก็มีมากมายที่ตอบไม่ได้

พระเจ้าพิมพิสาร เป็นกษัตริย์ครองเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ มีโอกาสพบพระพุทธเจ้าตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกผนวชใหม่ๆ เสด็จผ่านมายังเมืองราชคฤห์ ประทับอยู่ที่ปัณฑวบรรพต

หลังจากได้ทรงสนทนากับพระพุทธองค์แล้ว ได้ชักชวนให้พระพุทธองค์สละเพศบรรพชิตมาครองราชย์ด้วยกัน โดยจะทรงแบ่งดินแดนให้กึ่งหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธ ตรัสว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสวงหาคือโมกขธรรม หาใช่ราชสมบัติไม่

กษัตริย์หนุ่มกราบทูลว่า ถ้าทรงได้บรรลุสิ่งที่ทรงประสงค์แล้วขอให้เสด็จมาสอนเป็นคนแรก พระพุทธองค์ทรงรับ ด้วยเหตุนี้ เมื่อโปรดปัญจวัคคีย์ โปรดยสกุมารพร้อมสหาย จนมีพระสาวก 60 รูป ทรงส่งไปประกาศพระศาสดายังแคว้นต่างๆ แล้ว พระองค์จึงเสด็จพุทธดำเนินมุ่งตรงไปยังเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ

จุดมุ่งหมายก็คือ ทรงต้องการจะเปลื้องปฏิญญาที่ประทานไว้แก่พระเจ้าพิมพิสารเมื่อครั้งนั้นนั่นเอง

เมื่อทรงพิจารณาว่า บุคคลที่พระเจ้าพิมพิสารและชาวเมืองนับถืออยู่คือชฏิลสามพี่น้อมพร้อมบริวาร พระองค์จึงเสด็จไปโปรดชฏิลสามพี่น้องก่อน เพราะว่า เมื่อชฏิลสามพี่น้องพร้อมบริวารนับถือพระพุทธองค์แล้ว พระเจ้าพิมพิสารพร้อมชาวเมืองก็จะนับถือตามโดยง่าย

หลังจากโปรดชฏิลสามพี่น้องแล้ว พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ลัฏฐิวัน (แปลกันว่าป่าตาลหนุ่ม ตาลหนุ่มก็คือตาลไม่แก่นั่นแล) นอกเมืองราชคฤห์

พระเจ้าพิมพิสารพร้อมประชาชนจำนวนมากได้ไปยังป่าตาลดังกล่าว ทอดพระเนตรเห็นอาจารย์ของพระองค์สละเพศชฏิลหันมานุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ นั่งแวดล้อม “สมณะหนุ่ม” รูปหนึ่งหน้าตาคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยรู้จักกันมาก่อน ก็ทรงสงสัยอยู่ครามครันว่าเกิดอะไรขึ้น

อาจารย์ของพระองค์จึงได้ “เปี๊ยนไป๋”

พระพุทธองค์ทรงทราบพระราชดำริของกษัตริย์หนุ่ม จึงหันไปตรัสถามพระกุมารกัสสปะหัวหน้าชฏิลทั้งหลายว่า “เธอเห็นอย่างไร จึงสละเพศชฏิลและการบูชาไฟที่ทำมาเป็นเวลานาน หันมานับถือพระพุทธศาสนา”

ปูรณกัสสปะกราบทูลว่า “ยัญทั้งหลายสรรเสริญรูป เสียง กลิ่น รส และสตรี ล้วนแต่เป็นมลทิน ข้าพระองค์เห็นว่ามิใช่ทางแห่งความระงับกิเลส จึงละการเซ่นสรวงบูชา”

“ถ้าเช่นนั้น เธอยินดีอะไร เทวโลกหรือมนุษยโลก”

“ใจของข้าพระองค์ยินดีในการสิ้นกิเลสทั้งหลาย ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป”

พระเจ้าพิมพิสารและประชาชนได้ยินการโต้ตอบระหว่างพระพุทธเจ้าและปูรณกัสสปะ และเห็นอาจารย์ของพวกตนคุกเข่าประนมมือต่อพระพักตร์สมณะหนุ่มเช่นนั้นก็หายสงสัย พลอยเลื่อมใสไปตามอาจารย์ของพวกตนด้วย กษัตริย์หนุ่มก็พลอยรำลึกได้ว่า สมณะรูปนี้ก็คือผู้ที่ตนพบที่ปัณฑวบรรพตนั้นเอง บัดนี้ได้เป็น “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” แล้ว

หลังจากทรงสดับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์แล้ว พระเจ้าพิมพิสารได้บรรลุโสดาปัตติผล นับถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต อาราธนาพระพุทธองค์พร้อมภิกษุสงฆ์ไปเสวยภัตตาหารที่พระราชวังในวันรุ่งขึ้น

หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ถวายสวนไผ่เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาชื่อว่า “วัดเวฬุวัน” ดังที่ทราบกันดีแล้ว

พระเจ้าพิมพิสารนี้มีพระมเหสีพระนามว่าโกศลเทวี หรือเวเทหิ ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้พระขนิษฐานของพระเจ้าพิมพิสารเป็นมเหสีเช่นกัน แว่นแคว้นทั้งสองนี้จึงมีสัมพันธไมตรีกันอย่างแน่นแฟ้น ทั้งพระเจ้าปเสนทิโกศลและพระเจ้าพิมพิสารต่างก็ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างแข็งขันจนตลอดรัชกาล

มีเรื่องน่าสนใจก็คือ พระเจ้าพิมพิสารทรงนำแนวคิดวิธี “ดึงดูดเงินตราจากต่างประเทศ” จากแคว้นวัชชีของกษัตริย์ลิจฉวีมาใช้ในเมืองราชคฤห์ของพระองค์

โดยทรงสถาปนาตำแหน่งนาง “นครโสเภณี” ขึ้น

นางนครโสเภณีคนแรกชื่อสาลวดี สาลวดีมีบุตรชายด้วยความประมาทจึงสั่งให้สาวใช้เอาไปทิ้งไว้ข้างประตูวัง บังเอิญเจ้าชายอภัย พระราชโอรสพระเจ้าพิมพิสารทรงเก็บไปเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรม

เด็กน้อยคนนี้ต่อมาได้จบการศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจากสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ได้เป็นแพทย์หลวงประจำราชสำนักเมืองราชคฤห์ และได้ถวายตนเป็นนายแพทย์ถวายการอุปฐากพระพุทธองค์ในเวลาต่อมา

พระเจ้าพิมพิสารมีพระราชโอรสชื่ออชาตศัตรู ผู้ซึ่งได้ทำ “ปิตุฆาต” เพราะหลงเชื่อคำยุยงของพระเทวทัต แม้อชาตศัตรูเองก็ถูกพระราชโอรสปลงพระชนม์ พระราชโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรูก็ถูกพระราชโอรสของตนปลงพระชนม์เช่นกัน ว่ากันว่าฆ่าติดต่อกัน 7 ชั่วโคตรทีเดียว

ประชาชนทนเห็นพระราชวงศ์ปิตุฆาตต่อไปไม่ไหว จึงรวมตัวกันปฏิวัติ ล้มรัฐบาลเพื่อไทย เอ๊ย ราชวงศ์โมริยะ สถาปนาราชวงศ์ใหม่สืบต่อมา