ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 มกราคม 2551 |
---|---|
คอลัมน์ | ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ |
ผู้เขียน | หนุ่มเมืองจันท์ |
เผยแพร่ |
วันก่อนผมนั่งดูหนังแผ่นเรื่อง THE INTERORETER ที่ “นิโคล คิดแมน” เล่นคู่กับ “ฌอน เพนน์”
เป็นเรื่องราวของล่ามสาวประจำองค์การสหประชาชาติแอบไปได้ยินแผนการลอบสังหารผู้นำประเทศหนึ่งในแอฟริกา
เคยดูมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ตอนนั้นดูด้วยความสนุกตื่นเต้นอย่างเดียว
แต่ดูใหม่ครั้งนี้ ผมดูอย่างละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม
และที่หยิบแผ่นนี้มาดูซ้ำ เพราะมีเรื่องราวบางตอนในเรื่องที่ติดค้างอยู่ในความทรงจำ
แต่จำรายละเอียดไม่ได้
ครั้งนี้ผมจึงย้อนกลับไปดูช่วงนั้นซ้ำหลายครั้ง
เป็นเรื่องกฎการลงโทษฆาตกรของชาวคูที่มาโตโบ
ไม่ต้องสงสัยว่าประเทศนี้อยู่ตรงไหนของแผนที่โลก
มันเป็นประเทศสมมุติในหนังครับ
“นิโคล คิดแมน” เล่าเรื่องกฎของชาวคูให้ “ฌอน เพนน์” ฟัง
เธอบอกว่าชาวคูเชื่อว่ามีหนทางเดียวที่จะปลดตนเองออกจากบ่วงเศร้า
คือ การช่วยชีวิตคน
ถ้าคนที่เรารักถูกฆ่า
ฆาตกรจะถูกจับขังเป็นเวลา 1 ปี
หลังจากนั้น 1 ปีอันทุกข์ตรมจะสิ้นสุดด้วยพิธี “วายชนม์พิพากษ์”
เริ่มต้นด้วยงานเลี้ยงริมแม่น้ำตลอดทั้งคืน
รุ่งเช้า ฆาตกรจะถูกนำมาขึ้นเรือพาไปโยนทิ้งกลางแม่น้ำ
มัดมือและเท้าไว้ ไม่ให้ว่ายน้ำได้
ครอบครัวของผู้ตาย จะเป็นผู้พิพากษา
เขาเป็นคนกลุ่มเดียวที่มีสิทธิเลือกว่าจะปล่อยให้ฆาตกรจมน้ำตาย
หรือว่าจะว่ายน้ำออกไปช่วย
ชาวคูเชื่อว่า ถ้าปล่อยให้ฆาตกรจมน้ำตาย
…ยุติธรรม
1 ชีวิต แลกกับ 1 ชีวิต
แต่ครอบครัวนี้จะต้องติดอยู่ใน “บ่วงเศร้า” ไปตลอดชีวิต
เป็น “บ่วงเศร้า” ที่เกิดจากปล่อยชีวิตหนึ่งจมลงไปใต้ผิวน้ำ
ทั้งที่เราเป็นคนเดียวที่มีสิทธิช่วยให้เขารอดได้
แต่ถ้าเขาเลือกที่จะลงไปช่วยฆาตกร
นั่นคือ การยอมรับว่าชีวิตนี้มี “ความอยุติธรรม”
แต่ชีวิตของเขาจะพ้นจาก “บ่วงเศร้า” ไปตลอดกาล
การตัดสินใจครั้งนี้มีเพียง 2 ทางเลือก
คือ “ความยุติธรรม” กับ “บ่วงเศร้า” ของชีวิต
แม้จะดู “ดิบ” แต่ก็คมคายอย่างยิ่ง
ทั้งการปล่อยเวลาให้ผ่านไป 1 ปีแทนที่จะพิพากษาทันที
เพราะรู้ว่าถ้าให้ครอบครัวผู้ตายตัดสินใจ ณ เวลานั้น
“ความแค้น” คงจะท่วมหัวใจ
แต่การปล่อยเวลาให้ผ่านไป 1 ปี
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจะเริ่มตกผลึก
วิธีการพิพากษาก็น่าสนใจ เพราะให้คนที่เสียหายเป็น “ผู้เลือก”
เป็นการบอกว่าโลกนี้มี “ทางเลือก” มากกว่าหนึ่งเสมอ
และทุกการตัดสินใจมี “รายรับ-รายจ่าย”
ถ้าเลือกให้ฆาตกรตายตกไปตามกัน
เขาก็จะรู้สึกเศร้าไปตลอดชีวิตที่ปล่อยให้ชีวิตหนึ่งจมหายไปกับสายน้ำ
แต่ถ้าเลือกปล่อยฆาตกรให้พ้นจากความตาย
นั่นคือ การยอมรับว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม
“ฆาตกร” ยังคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
แต่คนที่เรารักไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว
เมื่อ “จ่าย” เรื่องนี้ไป แต่เขาก็ได้ “รับ” อีกสิ่งหนึ่งมาทดแทน
เขาได้ปลดปล่อยความเศร้าที่เกาะกุมจิตใจ
…จบเสียที
ชาวคูนั้นเชื่อว่าหนทางเดียวที่จะปลดตนเองจากบ่วงเศร้า ก็คือ การช่วยชีวิตคนอื่น
และเมื่อ “คนอื่น” ที่เขาช่วยคือ “ฆาตกร” ที่ฆ่าคนในครอบครัวของเขา
การเลือกเส้นทางนี้ นั่นคือ การให้อภัยแก่ศัตรู
ไม่เพียงแต่เป็นการชำระล้างจิตใจที่ยิ่งใหญ่
แต่ยังเป็นการตัดสินใจที่ “กล้าหาญ”
…ไม่ใช่ “อ่อนแอ”
ครับ คนที่ใหญ่จริง ต้องกล้าให้อภัย
ผมดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองไทย
นึกถึง “ทักษิณ ชินวัตร”
นึกถึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
นึกถึง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ฯลฯ
ถ้าเปลี่ยนเมืองไทยเป็น “มาโตโบ”
ผมไม่รู้ว่าใครจะโดนมัดมือมัดเท้าแล้วโยนลงน้ำ
ผมไม่แน่ใจว่าใครจะเป็นผู้พิพากษา
ชาวคูให้เวลา 1 ปีสำหรับครอบครัวผู้ตายและฆาตกร
แต่เมืองไทยให้เวลา 1 ปี 4 เดือน
วันนี้ความคิดของแต่ละฝ่ายคงจะตกผลึกแล้ว
ผมเชื่อเสมอว่าโลกนี้ไม่ได้ “ยุติธรรม” เสมอไป
ที่สำคัญ “ความยุติธรรม” ไม่ได้ทำให้โลกนี้สงบร่มเย็น
“การให้อภัย” ต่างหากที่ทำให้คนในโลกนี้อยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข
อย่าให้ “ความแค้น” มาบดบัง “ความเมตตา”
รู้ไหมครับว่าชาวคูนิยามคำว่า “ความแค้น” ไว้ว่าอย่างไร
“ความแค้น คือ ความเศร้าที่ตกตะกอน”
อย่าแปลกใจที่ทุกครั้งเมื่อผมเริ่มรู้สึกเศร้า
ผมจะเปิดเพลง “ยาพิษ” ของ “บอดี้แสลม”
แล้ว…โดด
ผมกลัว “ความเศร้า” จะตกตะกอนครับ