เปิดวรรณคดียุคต้นรัตนโกสินทร์ อาจจะพอมองเห็นที่มาของคำว่า “เจ๊ก” ที่ระบุจีนเข้ามายังไงบ้าง

ญาดา อารัมภีร
เจ๊กพายเรือขายของกับสาวๆ ชาวสยาม - จิตรกรรมฝาผนังภายในพระวิหารน้อย วัดกัลยาณมิตร

จีนในไทย

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีคนจีนหลายพวกเข้ามาตั้งหลักฐานสร้างครอบครัวอยู่บนผืนแผ่นดินไทย

โดยมากเป็นจีนทางตอนใต้ อาทิ ฮกเกี้ยน กวางตุ้ง ไหหลำ แคะ และแต้จิ๋ว

ส่วนใหญ่มาทางเรือสำเภาซึ่งเป็นเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ใช้ใบแล่น

ดังที่รัชกาลที่ 3 ทรงเล่าถึงตัวละครจีนที่เป็นนายสำเภาและล้าต้า หรือคนถือบัญชีเรือสำเภาไว้ในพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง สังข์ศิลป์ชัย ว่า

“มาจะกล่าวบทไป ถึงจีนนายสำเภาล้าต้า

ใช้ใบจากกวางตุ้งมุ่งมา จะเข้าเมืองปัญจาล์เวียงชัย”

คนจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทย นอกจากพวกกวางตุ้งก็ยังมี “แต้จิ๋ว” ซึ่งมีจำนวนมากที่สุด สุนทรภู่เล่าถึงจีนแต้จิ๋วไว้ในนิราศเมืองแกลง ดังนี้

“ถึงท้องธารศาลเจ้าริมเขาขวาง พอได้ทางลงมหาชลาไหล

เข้าถามเจ๊กลูกจ้างตามทางไป เป็นจีนใหม่อ้อแอ้ไม่แน่นอน

ร้องไล้ขื่อมือชี้ไปที่เขา ก็ดื้อเดาเลียบเดินเนินสิงขร”

ที่รู้ว่าเป็นจีนแต้จิ๋วก็ตรงคำว่า “ไล้ขื่อ” นี่แหละ คำนี้เป็นภาษาจีนแต้จิ๋วแปลว่า ไปๆ มาๆ สุนทรภู่บรรยายว่า “เจ๊กลูกจ้าง” เป็น “จีนใหม่”

เราจะมองเห็นภาพคนจีนอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งที่เมืองไทยในช่วงเวลาต่างๆ กัน บางพวกเข้ามาก่อน บางพวกมาทีหลัง เพราะคำว่า “จีนใหม่” หมายถึงคนจีนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในเมืองไทย เข้ามาภายหลังจึงยังไม่ชินไม่รู้จักไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีวิถีชีวิตแบบไทย กิริยาท่าทางก็ผิดแผกแปลกแยกจากคนไทย

จีนใหม่ไม่เรียบร้อยเหมือนจีนเก่าที่เข้ามาอยู่ก่อนนานแล้ว

จีนเก่าสนิทสนมคุ้นเคยรู้นิสัยใจคอคนไทยเป็นอย่างดี ทำให้สามารถปรับตัวได้กลมกลืนกับคนไทย ทำตัวคล้ายคนไทย พูดไทยคล่อง กินอาหารไทย

รวมทั้งมีเมียเป็นคนไทย

สุนทรภู่ยังเล่าถึงจีนใหม่ไว้ในนิราศพระประธม ตอนหนึ่งว่า

“ตามแถวทางกลางย่านนั้นบ้านว่าง เขาปลูกสร้างศาลาเปิดฝาโถง

เจ๊กจีนใหม่ไทยมั่งไปตั้งโรง ขุดร่องน้ำลำกระโดงเขาโยงดิน”

ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) อธิบายลักษณะของจีนใหม่ไว้ในหนังสือ สำนวนไทย ว่า

“…คำว่า “จีนใหม่” เป็นสำนวนหมายความว่า ซุ่มซ่าม ไม่เรียบร้อย ใครทำอะไรซุ่มซ่ามอย่างที่เรียกว่าไม่มีกิริยา จึงพูดว่า กิริยายังกะเจ๊กจีนใหม่…”

นอกจากกิริยาท่าทางดังกล่าวแล้วยังรวมไปถึงเสียงด้วย คนจีนที่อพยพเข้ามาอยู่เมืองไทยมีเสียงดังเป็นลักษณะเด่นที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ดังที่นิราศเมืองแกลง เล่าว่า

“ดูเรือแพแต่ละลำล้วนโปะโหละ พวกเจ๊กจีนกินโต๊ะเสียงโหลเหล”

นี่คือภาพกินเลี้ยงโต๊ะจีนที่มีคนจีนกินไปคุยไปเสียงเอะอะดังโขมงโฉงเฉง ซึ่งเป็นที่มาของสำนวนว่า “เจ๊กปราศรัยเหมือนไทยตีกัน” หมายถึงคนจีนคุยกันแท้ๆ แต่ส่งเสียงดังเหมือนคนไทยทะเลาะวิวาทกันอย่างไรอย่างนั้น

นิสัยใจคอบางอย่างของคนจีน กวีก็นำมาเปรียบเทียบกับตัวละครในวรรณคดี ดังจะเห็นได้จากเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ขุนช้างดื่มเหล้าเมาเละตุ้มเป๊ะในงานแต่งงานพระไวย เกิดทะเลาะวิวาทกับพระไวยผู้เป็นลูกเลี้ยง

“ขุนช้างกำลังเมายืนเกาก้น ทุดอ้ายหมาด่าคนเล่นง่ายง่าย

จองหองจะเถียงกูหรืออ้ายพลาย ฤๅเชื่อเช่นว่าเป็นนายมหาดเล็ก

อ้ายชาติอกตัญญูไม่รู้คุณ คือใครแคะค่อนขุนมาแต่เด็ก

ด่าทอพ่อได้อ้ายใจเจ๊ก เมื่อเล็กเล็กใครเลี้ยงมึงเป็นตัว”

ทำนองเดียวกับในบทละครนอกพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2 เรื่อง สังข์ทอง ท้าวสามนต์เจ็บใจเป็นกำลังที่หกเขยเป็นรองเจ้าเงาะเขยเล็กเสียทุกทาง จึงด่าเขยใหญ่อย่างไม่ไว้หน้าว่า

“ทุดอ้ายหกเขยใหญ่ใจเสาะ ราวกับอ้ายเงาะมันกินเหล็ก

ถูกเจ็บเข้าไม่ได้ดั่งใจเจ๊ก แต่เด็กเด็กมันก็ดีกว่ามึง”

“ใจเจ๊ก” คือ ใจเสาะ ไม่สู้ ถอดใจ ขี้ขลาดตาขาว

สมัยรัชกาลที่ 1-รัชกาลที่ 3 มีคนจีนมากมายในเมืองไทย มากเสียจนมีอะไรนิดมีอะไรหน่อย วรรณคดีสมัยนั้นก็จะพาดพิงไปที่คนจีนเป็นระยะๆ

เสภาขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงตัวละครจีนไว้หลายตอนด้วยกัน อย่างตอนต้นๆ เรื่องเล่าถึงนายโจรจันศรพาสมัครพรรคพวกปล้นบ้านขุนศรีวิไชย (พ่อของขุนช้าง) ไม่ได้ปล้นแค่ทรัพย์ แต่

“ไล่จับผู้คนอลหม่าน เสียงปืนสะท้านสะเทือนผึง

ชาวบ้านตื่นแตกแหกรั้วอึง ตกร้านเรือนตึงไม่สมประดี”

ในบรรดาผู้คนที่หนีตายมีทั้งไทย ลาว มอญ ที่ขาดไม่ได้คือ จีน ที่หนีเตลิดในสภาพนุ่งลมห่มฟ้า

“อ้ายเจ๊กกวยพวยขึ้นปีนตลิ่ง ทิ้งกางเกงปะเลงวิ่งไปโล้งโต้ง

พลัดตกลงน้ำดำโก้งโค้ง เสือกตะโพงเต็มหอบเข้าลอบปลา

หลงร้องโลเลว่าตะเข้ฉวย มะจิไบไซบวยซวยไอ๊ย่า”

หรือตอนที่ขุนแผนไปต่อว่านางศรีประจัน (แม่นางพิม) ที่ยกนางพิมให้แต่งงานกับขุนช้างทั้งๆที่แต่งงานกับขุนแผนแล้ว ขุนแผนตามไปเอาเรื่องขุนช้างจนถึงบ้านนางเทพทอง (แม่ขุนช้าง) ศรีประจันกับเทพทอง สองยายโผล่เข้าไปตามตัวนางวันทองกับขุนช้างในห้อง พอเห็นสภาพสองผัวเมียถูกมัดติดกัน มีปลายเชือกพันไว้กับขื่อ ทั้งยังมีผ้าคลุมไว้ให้ดูเหมือนศพอีกต่างหาก นางเทพทองก็สติแตก

“เทพทองร้องว่าช่วยกูด้วยที อะไรนี่ผีเจ๊กฤๅมิใช่

เชือกปอตราสังรุงรังไป มิใช่วันทองกับขุนช้าง”

นางเทพทองเข้าใจไปว่า สองศพที่เห็นคู่นั้นไม่ใช่ลูกชายลูกสะใภ้ แต่เป็นศพเจ๊กคงกับเมีย เจ๊กคงเพิ่งตาย “เมื่อบ่ายเย็น อีเมียถ่อยพลอยเต้นจนดิ้นตาย” เมียเจ๊กคงเสียใจที่ผัวตายก็ร้องไห้คร่ำครวญจนตายตามไปด้วย

นอกจากนี้ตอนที่ขุนแผนติดคุก สมเด็จพระพันวษาโปรดให้ขุนแผนพ้นโทษ ทำความชอบแก้ตัวโดยร่วมกับพลายงามลูกชายยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ ขุนแผนทูลขอนักโทษ 35 คนไปเป็นทหารอาสา แต่ละคนก็แนะนำตัวว่าชื่ออะไร ผัวใคร ติดคุกเพราะคดีอะไร คนหนึ่งบอกว่า

“อ้ายมากสากเหล็กปล้นเจ๊กกือ เมียมันตาปรือชื่ออีเสา”

อีกคนบอกว่า

“อ้ายจันผัวอีจานบ้านกะเพรา โทษปล้นจีนเก๊าเผาโรงเจ๊ก

ยิงปืนปึงปังประดังโห่ แล้วเอาสันพร้าโต้ต่อยหัวเด็ก”

นักโทษทั้งสองต้องคดีปล้น ไม่ได้ปล้นคนไทย แต่ปล้นคนจีน แสดงว่าคนจีนคงจะร่ำรวยมีเงินมีทองเป็นที่รู้กันทั่ว คนจีนมาอาศัยอยู่ในเมืองไทยแท้ๆ แต่ทรัพย์สินอู้ฟู่ขนาดนี้

คนจีนทำมาหากินอะไร ครั้งหน้ามีคำตอบ