เกษียร เตชะพีระ : ปีเก่าแห่งการสูญเสียและสิ้นสุด

เกษียร เตชะพีระ
AFP PHOTO / MANAN VATSYAYANA

เหมือนสองปีที่แล้วมา ผมขอใช้พื้นที่คอลัมน์การเมืองวัฒนธรรมในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับสุดท้ายของปีคัดสรรกาพย์กลอนบางส่วนจากทั้งสิ้นเกือบ 800 ชิ้นที่ผมเขียนสะทกสะท้อนสถานการณ์บ้านเมืองตามวาระโอกาสต่างๆ ในรอบปีมาลงไว้เป็นกำนัลท่านผู้อ่านเพื่อร่วมเป็นประจักษ์พยานและช่วยทบทวนหลักหมายสำคัญของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับเวลา

อาจสรุปได้ว่ารอบปีวอก พ.ศ.2559 ที่ผ่านไปเป็นปีแห่งการสูญเสียและสิ้นสุดของหลายอย่างที่สำคัญแก่ผู้คนทั้งในบ้านเราและโลกกว้างออกไป

มีเหตุให้ตระหนกสะเทือนใจ ใจหายวาบ งงงัน ท้อแท้ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้น คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงต่อไป…อันเป็นวาระที่พระเจ้าให้น้ำตามาสำหรับเราได้ใช้

และก็เป็นโอกาสให้หายใจลึกๆ สำรวจสำรวม ทบทวน ใคร่ครวญ วิเคราะห์วิจารณ์ กระทำการรวมหมู่ร่วมกันตามธรรมเนียมประเพณีที่เคยทำมา ซ้ำๆ คุ้นชิน เพื่อทำความคิดจิตใจว่าพรุ่งนี้ยังจะมาและโลกยังจะหมุนต่อไป และดังนั้นเราพึงทำอะไรกันดี

เป็นกระบวนวิธีอันแยบคายที่คนเราใช้รับมือความทุกข์ ความไม่เที่ยง และความไร้ตัวตนของโลกและตัวเราเอง

ด้วยการร้องไห้เสีย ซับน้ำตาให้แห้ง ระบายลมหายใจยาวๆ แล้วเดินหน้าต่อ

โลกมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เป็นมาอย่างนี้ก่อนเราเกิด และก็จะเป็นไปอย่างนี้หลังเราลาจากมันไปแล้ว…

1) นิทานคนดีที่หลงผิด
คนดีคนชั่วมั่วไปหมด             บ้างปลดบ้างตั้งนั่งเก้าอี้
เจออำนาจทรัพย์สินก็สิ้นดี       นิทานเรื่องนี้สอนอะไร
สอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์           จะใสซื่อบริสุทธิ์ก็หาไม่
ปล่อยอำนาจเด็ดขาดในมือใคร ถ่วงดุลมิได้ก็จบกัน
สอนว่าวิธีการสำคัญยิ่ง           เป้าหมายอ้างอิงแค่วาดฝัน
ถ้าเป้าดีวิธีต้องดีครัน             มิฉะนั้นกอดเป้าเน่าหลงทาง
สอนว่าความดีที่ยึดติด           อย่าหลงผิดคับแคบเที่ยวแอบอ้าง
อย่าถือดีหนึ่งเดียวเที่ยวกั้นกาง อย่าสุดโต่งล้มล้างดีอื่นลง
คนดีคือคนที่เรียนรู้               ที่เคยผิดเป็นครูไม่ใหลหลง
วางอำนาจบาดทะยักรู้จักปลง  ซื่อซื่อตรงตรงคนเท่ากัน

2) กะลาแลนด์ vs. เรดบั๊คเก็ต
อินเดอะแลนด์ออฟกะลา    ฟรอกวิสเทิ้ลคา    เรดบั๊คเก็ตอีสจัญไร
อิลลีกอลแอนด์อันไทย       แอสฟรอกวีไลค์    กะลาสวมใส่กบาล
ลองลีฟกะลายืนนาน         มั่นคงทนทาน       เป็นกบอบอบออลเวยส์
วอตเอเวอร์กะลาเซย์         ฮิพฮิพฮูเรย์          วีกบอบอบแอสเวล
ดิเอ๊าต์ไซด์เวิลด์อีสเฮล       โกโก้นัทเชลล์        อีสพาราไดส์ไทยแลนด์

๓) ฝรั่งรุมยำ
ฝรั่งบาร์บาเรียนรุมกินโต๊ะ           ฮิวแมนไรท์แตกโพละโอ๊ะแย่ใหญ่
พูดจาอย่างแข็งกร้าวต่อชาวไทย    คนอะไรไม่สันทัดหัดนุ่มนวล
ที่เราทำเพราะเป็นไทยถึงได้ทำ      อย่าจี้ไชให้ช้ำเรียมสงวน
อารยะยำไทยไยทบทวน              ขึ้นชื่อไทยไม่ควรไม่เป็นไทย
ขึ้นชื่อไทยต้องเป็นไทยก่อนเป็นอื่น ฮิวแมนไรท์ให้กลืนคงไม่ไหว
ได้เป็นไทยแล้วหนอก็พอใจ          เป็นฮิวแมนหรือไม่ก็ช่างมัน

๔) ทำอะไรไม่ได้ให้เปลี่ยนคำ
ความจริงมันไม่ยำเกรงอำนาจ     สั่งโลกหมุนเด็ดขาดไม่ตามสั่ง
ม.เลขที่เท่าไรก็ไม่ฟัง                ได้แต่นั่งอมโศกเพราะโลกทับ
จึงปรับคำปรับความตามใจชอบ  เอาภาษาล้อมกรอบโลกด้วยศัพท์
คุมคำคุมความหมายให้ยอมรับ   วิธีปรับทัศนคติไทย

๕) มติแห่งประชาสามัญชน
ไม่มีอกสามศอกมาออกศึก     ไม่ได้ฝึกอาวุธมายุทธแย่ง
เป็นเพียงคนธรรมดามาแสดง  มติแห่งประชาสามัญชน
รณรงค์ทำได้ย่อมไม่ผิด         จับเพื่อนติดคุกไปไร้เหตุผล
ถ้าประชาจะมีมติตน            ทุกทุกคนต้องมีเสรีคิด
เสรีพูดเสรีที่เห็นต่าง             รับบ้างไม่รับบ้างย่อมเป็นสิทธิ์
จับลูกโป่งจับคนเป็นมลพิษ     เบือนบิดประชามติมิชอบธรรม
ประชามติมิชอบธรรมทำไปไย  หลอกตนเองหลอกใครให้โลกขำ
อำนาจใหญ่ใจนิดมิจฉางำ       กลัวเรากำปากกากาบัตรเอง

๖) อย่ากลัวล้ม
เดินมาไกลเกินกลัวการสะดุด    เหนื่อยเข่าทรุดขาอ่อนร้อนเหงื่อชุ่ม
จากตีนภูเป้ถ่วงหน่วงหลังรุม     มือเหนี่ยวไม้ดึงดุ่มเดินต่อไป
ทีละก้าวสั้นยาวตามถนัด         ยกขาข้ามขอนตัดทางเส้นใหม่
เตะตอตูมฉีกเล็บเจ็บเหลือใจ     ตีนแตกย่องแย่งไต่ไล่ตามกัน
ล้มแล้วกลัวหรือไม่ไม่อยากล้ม   แต่ไม่จมหักศึกนึกเสียขวัญ
เหยียดแขนหยัดเข่าคู่ขึ้นชูชัน     ยืดตัวยันยืนกลับขยับเดิน
หนี้ค้างเพื่อนล้มกลางทางมีมาก  ใจพลุ่งพล่านแผลถากแค่ผิวเผิน
ทางข้างหน้าต่อให้ไกลเหลือเกิน  ไม่หมางเมินตีนก้าวเต้ายอดภู
ทีละคืบทีละก้าวยาวและสั้น      ถึงภูสูงผาชันมุ่งมั่นสู่
ทีละขั้นทีละชั้นยันร่างชู           ตราบหัวใจเต้นอยู่ไม่หยุดเดิน

๗) ยุคสมัยหนึ่งสิ้น สุดลง
ยุคสมัยหนึ่งสิ้น           สุดลง
พรายพร่าพรางเพ่งบง  บ่แจ้ง
อาทิตย์อัสดง             เดือนดับ
มือไขว่ใจคว้าแล้ง        โล่งร้างเลอะเลือน
แขนโอบอ้อมสะอื้น      อั้นทรวง
คนแปลกหน้าทั้งปวง    ญาติเหย้า
ประกายเพชรจากดวง   ใจหยาด
แวววับกับตาเจ้า         จับจ้องส่องหน
มองเห็นมองหัดให้       ใฝ่มอง
มือยุดฉุดประคอง        หยัดค้ำ
อรุณเรื่อเรืองรอง         ส่องสาด
จูงเพื่อนเขยื้อนย้ำ        ขยับเท้าก้าวเดิน
เดือนมืดก็มืดได้           เพียงเดือน
วันใหม่อาทิตย์เยือน      เยี่ยมฟ้า
มืดมิดปิดตาเลือน         ลางโลก
แกะออกยืดอกกล้า       พรุ่งนี้เกรงไฉน

๘) ความเงียบบนยอดหญ้า
เป็นอีกครั้งใช่ไหมในความเงียบ            ลมยะเยียบเยือกเหลือเมื่อต้นหนาว
ดุริยะผสานกังวานดาว                      เอนระนาวยอดหญ้าหน้าแนบฟัง
ยินหรือไม่ได้ยินชาชินเชียบ                 ใจเต้นแผ่วแล้วเงียบเงาความหลัง
แก้มเปื้อนรอยคราบเปรอะอยู่เกรอะกรัง น้ำค้างขังหรือว่าน้ำตาใคร

๙) ธรรมวิทยาชราไทย
ประเทศนี้ไม่ต้องมีความรู้ใหม่       จะรู้ไปทำไมให้เสียเปล่า
ในเมื่อความเป็นไทยเป็นของเรา    และเป็นไทยคือเท่าที่ต้องรู้
ประเทศนี้ไม่ต้องมีความหวังใหม่   จะหวังไปทำไมเล่าไอ้หนู
ดีที่สุดที่เป็นได้เป็นให้ดู               คืออย่างที่เป็นอยู่ดั่งปู่เป็น
ประเทศนี้ไม่ต้องมีชีวิตใหม่          เมื่อขอนไม้ใกล้ฝั่งดังที่เห็น
จงเกาะขอนหนีบขาอย่ากระเด็น   ใจเย็นเย็นเรื่อยไหลไปตามน้ำ