โลกหมุนเร็ว/เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง/ความกล้า ความกลัว และความหลากหลาย

โลกหมุนเร็ว/เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง [email protected]

ความกล้า ความกลัว

และความหลากหลาย

 

ธรรมชาติสร้างสิ่งต่างๆ หลากหลายเหลือคณานับ พันธุ์พืชล้านชนิด สัตว์ล้านสปีชีส์ แมลง สัตว์สี่เท้า สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์บินในอากาศ สัตว์อาศัยในน้ำ

ธรรมชาติสร้างมนุษย์ให้มีดีเอ็นเอไม่ซ้ำกันเลย ความสามารถและพรสวรรค์ต่างๆ กัน

แต่ประเทศของเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ไม่ยอมรับความหลากหลาย

ประเทศของเรากำลังเดินไปสู่จุดที่ทุกคนต้องคิดเหมือนกัน ชอบเหมือนกัน ใครคิดต่างจงไปหาประเทศอยู่ใหม่ หรือไม่ก็นิ่งเฉยเสีย

คนกล้าคิดต่างกำลังถูกทำให้กลัว

สังคมก้าวไป โลกก้าวไป เพราะคนกล้าหรือคนกลัวกันแน่

นานมาแล้ว คนกล้าชื่อสืบ นาคะเสถียร กล้าพอที่จะปลิดชีพตนเอง เพื่อประกาศถึงสิทธิของการมีชีวิตอยู่ของสัตว์ป่าและความคงอยู่ของผืนป่า

เป็นความกล้าที่ไม่อาจจะพูดได้ว่า “ไม่คุ้ม”

จากนั้นมากระแสอนุรักษ์ป่าก็ถูกปลุกให้ยั่งยืนในใจคน มาจนถึงยุคของศศิน เฉลิมลาภ ผู้ปลุกกระแสการคัดค้านเขื่อนแม่วงก์

มาจนถึงยุคล่าเสือดำของนักธุรกิจที่สังคมประณาม

ถ้าหากไม่มีการเสียสละของสืบ นาคะเสถียร สังคมคงจะแค่ “อะไรเหรอ ล่าเสือดำตัวเดียวเนี่ย อะไรกันนักกันหนา”

 

ก่อนหน้านี้คนไทยเอือมระอาการเมืองกันมาก บ้านเมืองแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ออกมาประท้วงกันตามถนน วุ่นวายยาวนาน ทหารออกมาแก้ปัญหาด้วยการปฏิวัติ โล่งอกชั่วคราว ทหารบอกจะทำให้บ้านเมืองสงบแล้วคืนอำนาจให้ประชาชน กลับคืนสู่การเลือกตั้ง ต่อมาทหารก็มีท่าทีสืบทอดอำนาจ จะจัดตั้งรัฐบาลกันเอง

อ้าว มันยังไง

ในนามของความเป็นห่วงบ้านเมือง ถ้าฉันไม่มา คนอื่นมามันจะไม่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เหมือนฉัน เพราะฉะนั้น ฉันต้องมาปกป้อง 3 สิ่งนี้

มีแนวคิดที่มองมาอีกมุม ไม่ได้มองแบบการเมืองเก่าๆ แต่มองแบบคนกล้าเข้ามายกเครื่องการเมืองน้ำเน่า ที่มีการทุ่มซื้อตัวกัน จนไม่รู้ประโยชน์ประชาชนอยู่ที่ไหน มีแต่ประโยชน์ของตน

ทีนี้นักการเมืองแบบเก่าๆ ก็กลัวคนกล้ากลุ่มนี้จะมาเปลี่ยนขนบที่เคยปฏิบัติกันมา ขนบที่ว่าก็คือการปฏิวัติแล้วสืบทอดอำนาจกับการแบ่งผลประโยชน์ของนักการเมือง

ก็เลยต้องหาทางบดขยี้ให้คนกล้าเกิดความกลัว

อันว่าคนกล้ากับคนกลัวนั้นเวลาจะทำอะไรมันจะทำด้วย mindset ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ฝ่ายคนกล้าทำด้วยความหวัง มีความเชื่อมั่นว่าทำได้ ค่อยๆ ฟันฝ่าอุปสรรคไป

ส่วนคนที่ทำด้วยความกลัวก็มีความกลัวหลายอย่าง ที่กลัวมากที่สุดคือกลัวการไม่มีพวกพ้อง นอกนั้นก็คือกลัวจะหลุดจากการแบ่งผลประโยชน์

พอมีคนกล้าโดดเข้ามาก็มีคนแบ่งเป็นสองพวก พวกแรกดีใจที่มีคนกล้า พวกที่สองเป็นพวกขี้กลัว กลัวว่าบ้านเมืองมีคนกล้าแบบนี้เดี๋ยวจะยุ่งอีกเพราะมาเขย่าวิถีที่เดินมาเรื่อยๆ เกือบจะเข้าที่แล้ว

ฝ่ายสืบทอดอำนาจกลัวคนกล้ามาก เพราะมาชี้ให้เห็นถึงสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นไปได้ ฝ่ายสืบทอดอำนาจกลัวเรื่องความคิดที่สุดเพราะมันคือรากฐานของความเปลี่ยนแปลง ฝ่ายสืบทอดอำนาจกลัวการตั้งคำถามเพราะจะตอบไม่ได้ คนกล้ามักคุกคามด้วยการตั้งคำถามต่างๆ

ฝ่ายสืบทอดอำนาจมีชนชั้นนำเป็นโขยงแบ๊กอัพอยู่ทั้งเงินทั้งอำนาจ

ก็ต้องใช้อำนาจขจัดคนกล้าให้สิ้นไป

ประเทศนี้ห้ามมีคนกล้า

มันคงเป็นชะตาของประเทศนี้ชั่วนิรันดร์กาล

ขุนน้ำขุนนาง ผู้มีเชื้อสาย คือผู้ปกครองประเทศ มีทหารค้ำจุน ส่วนเจ๊กจีนเป็นได้แค่พ่อค้า อยากมีหน้ามีตาก็จ่ายเงินมา

อย่าริอ่านมาเป็นผู้นำประเทศเสียเอง

 

ประเทศไทยกำลังกลับไปสู่ความเป็นอาณาจักรแห่งความกลัว โชคยังดีมีผู้นำอุปโลกน์ที่มีอารมณ์ขันหยอกล้อทีเล่นทีจริงให้พอผ่อนคลาย

ที่ว่าผ่อนคลายก็เพื่อจะลืมๆ ไปชั่วขณะว่าประเทศนี้ไม่ยอมรับความหลากหลาย เขาสั่งขวาหันก็หัน สั่งซ้ายหันก็หัน เขาสั่งขวาห้ามหันซ้าย ไม่กลัวตายหรือไง

ก็อยู่กันไปแบบกลัวๆ อย่างนี้แหละ

ความกลัวก็มีประโยชน์แบบหนึ่งคือคนไม่แตกแถว บ้านเมืองดูสงบ ปล่อยให้ชนชั้นนำว่ากันไป พวกดอกหญ้าติดดินจงเจียมตัว

มีหน้าที่ทำมาหากินส่งส่วยสาภาษีให้ผู้นำเอาไปใช้ ไม่มีปากไม่มีเสียง

บ้านเมืองจะเจริญไหมไม่สำคัญ ขอให้สงบ สงบ สงบ

แต่ก็นั่นแหละ ความกลัวเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคน เช่นเดียวกับความหิว มนุษย์ย่อมกลัวความเดือดร้อน กลัวเจ็บปวด กลัวตาย กลัวพรากจากคนที่รัก กลัวทรัพย์สมบัติที่สะสมมาจะสูญสลายไป

ก่อนที่จะคิดถึงความเจริญ อนาคตของลูกหลาน ทุกคนต้องคิดถึงความปลอดภัยไว้ก่อน

นานเท่าไหร่ที่จะมีคนกล้าสักคน ที่ไม่กลัวสิ่งเหล่านี้

นานเท่าไหร่ที่จะมีคนอย่างสืบ นาคะเสถียร ที่เอาชีวิตเข้าแลก

นานเท่าไหร่ที่การเมืองจะมีคนกล้า