ทวีปที่สาบสูญ : นางคนชั่วช้า โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ 

ฉันแทบไม่สบตากับอัมพรเลย ตลอดเช้าวันต่อมา แม้คนสารเลวจะพยายามยิ้มยั่ว เฉียดไปเฉียดมา ท่ามกลางการสั่งงานของอีพี่สร้อยสาย ซึ่งย่อมไม่รู้เรื่องราวใด

มันเกิดขึ้นได้อย่างไร กลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้ จู่ๆ เมื่อตื่นขึ้นในอีกเช้าหนึ่ง ฉันก็พบโลกอีกใบหนึ่ง

ประหนึ่งความฝัน

แต่มันไม่ใช่ความฝัน

เพราะเนื้อตัวและหัวใจฉันสั่นไหวอย่างรุนแรงด้วยความรู้สึกรู้สา

จนไม่อาจลืมได้ในสักขณะจิตเดียว

 

“เอากองนี้ไปด้วย”

อีพี่สร้อยสายสั่ง ชี้นิ้วไปยังลังกระดาษที่ซ้อนกันอยู่สองสามใบ

“เอาไปทำไมพี่” อัมพรนิ่วหน้า “รกที่เสียเปล่าๆ”

“เออ เอาไป เดี๋ยวก็ได้ใช้มัน…ขึ้นรถแล้วเอาผ้ายางคลุมด้วยล่ะ”

“งั้นก็มาช่วยยกหน่อย…อีพี่”

ทั้งๆ ที่นั่นก็คืออัมพรคนเดิม แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือน…มีอีกคนสวมทับร่างเข้ามาใหม่ อัมพรไปทำอะไรกับจมูกมาหรือเปล่า ราวจะปลายโด่งเชิดขึ้น ส่งปากกับตาให้ดูเฉี่ยวคม ยิ่งยามเดินเร็วๆ เอวคอด สะโพกกลมกลึง

สวยกว่าอีพี่สร้อยสายเสียอีก

สวยขึ้นผิดหูผิดตา

“มาซี อีพี่!”

มีแต่ลิ้นนั่นล่ะ ยังพ่นคำแสบร้อน

ให้รู้ว่าคือหล่อนคนเก่า

“เอาวางรอหน้าร้านเลย…อ้าว นั่น มาพอดี”

ฉันแทบจะตัวขึงไปชั่วขณะ ทันควันที่รถกระบะคันใหญ่จอดเทียบ ชายร่างสูงสวมแว่นตาดำก้าวขาลงมา

ผัวของอีพี่สร้อยสายอันเคยคุ้นหน้า

สายตาจ้องมาที่ฉันเช่นกัน

“น้องอีโฟยังไงล่ะ” เสียงพี่สร้อยสายบอกผัว

คล้ายผัวจะถามว่า แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

“มันไม่มีทางไปน่ะสิ เลยกลับมาขอพึ่งใบบุญเราอีก” อีพี่สร้อยสายว่า “แต่ก็ดีแล้ว ให้ตัวอีพี่มันอับอายขายขี้หน้า น้องมันแท้ๆ ยังไม่มีปัญญาเลี้ยง”

อัมพรแตะเบาๆ ที่ข้อมือฉัน

“…ไม่ต้องพูดอะไร อีพี่” เสียงเบาอย่างเอาใจใส่ “มันอยากพูดอะไรก็ปล่อยมัน ความจริงเป็นยังไงมึงก็รู้อยู่”

ฉันไม่ประหลาดใจเลยกับถ้อยคำของอีพี่สร้อยสาย แต่ที่คิดไม่ถึงคือท่าทีของอัมพร

“เป็นไง?” คุณตู่ถามเมื่อเดินผ่าน

ฉันไม่รู้จะตอบยังไง ได้แต่ยกมือไหว้ตามธรรมเนียม ชายร่างสูงรับไหว้ ตาแลดูฉันไม่ละวาง

“เกลียดมันจริงๆ” อัมพรเสียอีก ลอดเสียงออกมาเมื่อพี่เขยกับพี่สาวก้าวเข้าในรถยนต์กันแล้ว

ฉันเหลียวมองคนพูด เห็นความเกรี้ยวโกรธเงียบเชียบปรากฏต่อหน้า

“เอ้า ขึ้นรถกันซี” อีพี่สร้อยสายผลักประตูรถออกมาตะโกนบอก

อัมพรรุนหลังฉัน

“ขึ้นไปก่อนเลย”

รถแล่นไปอย่างรวดเร็วตามท้องถนน สายลมพัดเป่าจนเส้นผมอัมพรปลิวไสว มือหนึ่งรวบไว้ อีกมือควานหาของในกระเป๋า คว้าหนังว้องขึ้นมาเส้นหนึ่งรัดปลายผม ตลบลวกๆ พลางตามองดูฉันที่อยู่อีกฟาก

เรานั่งกันสองคนบนกระบะหลัง ปราศจากหลังคา

“ผมเริ่มยาวแล้วนี่” อัมพรว่า “เสียแต่ไม่เป็นทรง”

ฉันรู้ดีว่าตัวเองดูมอมแมมแค่ไหน

“ถ้าตัดผมเสียหน่อยก็หน้าหมดตาใส” อัมพรพูดอีก “อีขนตางอน”

คำพูดธรรมดาๆ แต่กลับทำให้ร้อนวูบวาบขึ้นมาได้ เสมองไปเสียทางอื่น เห็นอีพี่สร้อยสายกำลังหัวเราะหัวใคร่อยู่กับคนขับ

“…ตกลงเขาดีกันอยู่ใช่มั้ย” เอ่ยปากถามออกไป

อัมพรชะโงกส่องบ้าง

“อือ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เอาแน่กับมันไม่ได้”

แล้วอธิบายต่อ เหมือนรู้ว่าสงสัย

“ผัวมันน่ะ…บทจะดีก็อย่างเทวดา เป็นยักษ์เป็นมารขึ้นมา ใครก็เอาไม่อยู่”

“…ฉันนึกว่า…” กลืนน้ำลายลงคอ “ตอนเกิดเรื่องพี่โฟแล้ว…เขาจะแตกกันเสียอีก”

“ก็เกือบไป” อัมพรว่า สีหน้าเหมือนเยาะหยันอะไรสักอย่าง “พี่คำโดนหนักอยู่เหมือนกัน แต่จะไปไหนก็ไม่พ้น คงต้องยอมมันไปก่อน”

“หมายถึงยังไง” ฉันเอะใจ “พี่เธอโดนอะไรบ้างหรือ”

“มันโรคจิต” อัมพรขบฟัน “ทำได้ทุกอย่างถ้ามันจะทำ ไว้คงได้เห็นเอง”

“แล้ว…ทำไมถึงยังอยู่กับเขา” ฉันถามตามความคิด

“มึงเลือกอะไรได้บ้างล่ะ อีพี่” อัมพรกลับโยนคำถามมา “ถ้ามึงกำหนดชีวิตตัวเองได้จริงๆ จะมาอยู่กับพวกกูยังงี้รึ?”

 

ฉันหมดคำถามกับอัมพร คงเช่นเดียวกันกับแดดที่ทอแสงลงมาแล้วหายวับไป ถนนสีเทาข้างหลังดูว่างโล่งไปเรื่อยๆ แล้วรถก็พ้นจากย่านบ้านเรือนผู้คน พุ่งขึ้นบนทางวกเวียนสูง

สูงขึ้นทุกที

สองฟากทางแลเห็นป่าไม้ มีทั้งยอดผลิใหม่และใบแห้งกรอบเหลือง มันคือปลายฝนต้นหนาวที่เห็นกลุ่มเมฆฝนอยู่ไกลๆ

อันที่จริงคงไม่ไกลหรอก เพราะจมูกเริ่มได้กลิ่นชื้นเย็น ความหนาวที่เข้าปกคลุม

“ฉิบหาย ฝนจะตก” อัมพรแหงนหน้า

ฉันเพิ่งสังเกตในบัดเดี๋ยวนั้นว่า ข้าวของที่ใส่มาท้ายรถ ยกเว้นข้าวของของฉัน มีผ้ายางผืนใหญ่ปกคลุมไว้มิดชิด แท้อีพี่สร้อยสายเตรียมการไว้สิ้น

รถแล่นขึ้นทางชันกว่าเดิม พร้อมกับหยดเย็นเริ่มตกเปาะแปะลงมา

“อีพี่ มานี่” อัมพรเรียก

ฉันขยับตัว ห่วงถุงใส่เสื้อผ้า และที่สำคัญที่สุด มัดม้วนสตางค์ในกระเป๋ากางเกง

“มาเร็วซี” อัมพรหย่งตัวขึ้นคว้าแขน

ฝนเทลงมา เร็วกว่าที่คาดคิดเอาไว้ ฉับพลันทันใด เหมือนทั้งโลกปกคลุมด้วยฝ้าหมอกขาว อัมพรดึงฉันอีกที

“โอ้ย”

อัมพรกดหัวฉันลง ผ้ายางหนาๆ โปะลงมาโดยไม่ทันตั้วตัว ตั้งหลักได้ฉันก็ดิ้นขลุกขลัก

“หายใจไม่ออก”

อัมพรหัวเราะ และในที่สุด ผ้ายางพลาสติกก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ มองดูใบหน้าเพื่อนร่วมทาง ฝนหยาดเป็นสาย

ผมดำยาวเปียกโชก

แต่ข้างในรถ คนขับกับเมียยังหัวเราะหัวใคร่ รู้ได้ว่ารถผ่อนช้าลง คงจะระมัดระวังมากขึ้นกับเส้นทาง แต่ทั้งสองก็ไม่มีทีท่าจะจอดรถแต่อย่างใด

ไม่สนใจเลยว่า คนที่นั่งหลังกระบะจะเป็นอย่างไร

 

ฉันเคยตากฝนมาก็มาก มีตั้งหลายครั้งที่ตกอยู่ในวงล้อมของห่าน้ำฟ้า แต่ก็ไม่มีครั้งใดจะได้ตากฝนกับใครสักคน…เช่นนี้

มันเป็นสิ่งที่ฉันไม่อาจเข้าใจตัวเอง พอๆ กับที่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เพียงบันทึกเอาไว้ในใจก่อนว่า ถ้ามีเวลาดีๆ ฉันคงจะได้เขียนมันออกมา

…สมุด…ปากกา ทันใดสองสิ่งที่ทนุถนอมไว้ก็ปรากฏขึ้นในความคิด

มันเปียกไปหมดแล้วใช่มั้ย!

ปากกาคงยังเขียนได้ แต่สมุดล่ะ

…สมุดของฉัน

“เป็นอะไร” อัมพรยังโอบแขนรอบตัวฉันอยู่ ถามขึ้นเมื่อเห็นอาการอยู่ไม่สุข

“ของเปียกหมดแล้ว” ฉันพูด

“อือ ทำยังไงได้เล่า”

“…เสียดายที่เพิ่งซื้อมา”

“ไว้ค่อยซื้อใหม่ละกัน”

ฉันนึกน้อยใจอัมพรขึ้นมาทันที พูดง่ายเพราะว่าไม่ใช่คนเสียของอย่างฉัน เงินทุกบาททุกสตางค์ล้วนมีค่า ใช่ว่าจะคว้าหยิบจากอากาศได้เสียเมื่อไหร่ ใบเขียวใบแดงที่ควักออกไป ความตั้งใจเสาะซื้อหามา…

“อ้าว เป็นอะไรอีก หน้าบึ้งหน้างอ”

“ไม่ต้องมายุ่ง!”

“อะไรของมึง อีพี่”

ยิ่งอัมพรทำหน้าไม่เข้าใจ ฉันยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเท่านั้น

“ก็แล้วจะถามทำไม” กระชากเสียงเข้าใส่

 

อัมพรมองหน้าฉัน หล่อนยังเป็นคนที่น่าชังอย่างที่เคยเป็นเสมอมา แต่อาจเพราะฝนที่ตกกระหน่ำอยู่ตลอดเวลาที่รถแล่น ในความเปียกชุ่มโชกอันหนาวเหน็บ ยิ่งสูง รถยิ่งช้าลงจนไม่รู้เมื่อไหร่จะถึงปลายทางสักที ในห้วงที่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองก็เป็นกระดาษยุ่ยๆ แผ่นหนึ่ง คงเพราะเช่นนั้น ฉันจึงงุนงงและหัวสมองพร่าเบลอ เมื่ออัมพรยื่นหน้าเข้ามา

นางปีศาจคว้าคอฉันไว้ คลุมผ้ายางหนาเตอะเหม็นสาบนั่นลงมาอีก และในความมืดฉับพลันแทบจะไม่มีอากาศหายใจ อัมพรก็จาบจ้วง

ฉันตัวแข็งไปหมด อดีตทั้งปวงพังทลายลงไป ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวใดในความคิด ได้ยินแต่เสียงฝนตกลงบนผืนพลาสติกเท่านั้น

แค่ปาก…ปากที่มักพูดจาแต่คำชั่วช้า ลิ้นอันน่ารังเกียจเสมือนงูพิษ ที่หล่อนใช้มันมอบความมืดมิดลึกล้ำให้กับฉัน

แม้แต่วันที่แพรวพลอยข้ามผ่านเข้ามา ก็ไม่อาจเทียบได้

นี่มันอะไรกัน

ฉันพยายามคว้าไขว่หาอากาศ หวังว่าจะทะลึ่งตัวพรวดขึ้นพ้นได้ แต่กลับกลายเป็นยิ่งต้องจิกเล็บลงบนหัวไหล่ เส้นผมยุ่งเหยิงสอดสายเข้ามาในซอกนิ้ว ดั่งมีชีวิตจิตใจ

“พอได้แล้ว” ฉันคงเสียงสั่นอยู่ไม่น้อย เมื่อบอกกับอัมพร

หล่อนดึงผ้าคลุมกันฝนออก ตอนนี้แหละที่อีพี่สร้อยสายเหลียวมา แต่ก็แค่แว่บเดียว

รู้สึกเจ็บแปล้บๆ ที่ปาก ยกมือแตะ…มีเลือดติดปลายนิ้วออกมา

แต่ไม่ใช่เลือดของฉัน

“คอยดูเถอะ ไว้จะกัดคืน” นางคนชั่วช้าพูด