ฐากูร บุนปาน | วันหนึ่งเคยด่าเขาไว้ วันนี้ทำอย่างที่ด่าเขา

การเมืองไทยกลับเข้าสู่วงจรเดิมเรียบร้อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ผ่านพ้นไป

วงจรที่ว่าก็คือ การต่อรองกันในเรื่องตำแหน่ง อำนาจ และผลประโยชน์ในช่วงของการจัดตั้งรัฐบาล

ในฐานะอดีตนักข่าวเก่า ที่พยายามสดับตรับฟังก็คือ ในวงเจรจาไม่ว่าจะโดยลับหรือโดยเปิดเผยนั้น

ท่านและท่านทั้งหลายพูดกันถึงปัญหาและอนาคตของประเทศชาติบ้างหรือไม่

ปรากฏว่าไม่ยักได้ยินแฮะ

ได้ยินอยู่เรื่องเดียวคือ พรรคนั้นจะเอากระทรวงนี้ พรรคนี้จะเอากระทรวงนั้น

และบางพรรคประกาศกร้าวว่า กระทรวงนั้นกระทรวงนี้ไม่ได้มีไว้ต่อรอง

ว่ากันด้วย “โควต้า” ล้วนๆ

นโยบายไปอยู่เสียที่ไหน?

เข้าใจอยู่ละว่านี่เป็นธรรมชาติของการเมือง ต้องถกกันเรื่องตำแหน่งแห่งหน การแบ่งปันอำนาจ และการจัดสรรผลประโยชน์ให้เรียบร้อยเสียก่อน

ถึงจะมาสุมหัวกันร่วมร่างนโยบาย (อย่างพอเป็นพิธี)

แต่ที่ไม่ค่อยเข้าใจก็คือ ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือไม่เข้าใจกันบ้างเลยหรือว่า

ไม่ว่าจะโดยสถานการณ์เฉพาะหน้า หรือว่าโดยโครงสร้างระยะยาว

ประเทศนี้กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง

ชนิดที่บริหารจัดการกันอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาตัวรอดโดยบอบช้ำน้อยที่สุดอย่างไร

นี่ท่านทั้งหลาย “ชิล-ชิล” เหมือนสังคมนี้ไม่มีและไม่เคยมีปัญหาระดับวิกฤตที่หนักหนาสาหัส

เหมือนกับเราอยู่คนละโลกหรืออยู่คนละสังคมกัน

ข้อต่อมาก็คือ กระบวนการทั้งหมดที่ว่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดย “นักการเมืองอาชีพ” หรือนักการเมืองหน้าเก่าทั้งหลายเท่านั้น

แต่ยังผนวกเอาบรรดาผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ที่เคยออกปากบริภาษ “การเมืองแบบเก่า” เอาไว้ด้วย

วันหนึ่งเคยด่าเขาไว้ วันนี้ทำอย่างที่ด่าเขา

แล้วจะให้คนทั่วไปเชื่อถือ เชื่อมั่น หรือไว้วางใจอะไรหรือใคร

ช่วยพิสูจน์ยืนยันอีกครั้งว่า น้ำยาบ้วนปากยี่ห้อ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” นั้น

อมแล้วก็บ้วนทิ้งกันไว้เดี๋ยวนั้น

คิดขึ้นมาได้เฉพาะหน้าก็พูดให้เท่ไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดจะทำให้เป็นจริงเป็นจังอะไรขึ้นมาหรอก

เป็นแค่เครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมืองอีกอย่าง

และช่วยทำลายคำว่า “ปฏิรูป” ให้หมดความหมายจากสังคมไทยไปอีกคำหนึ่ง

เหมือนกับอีกหลายๆ คำที่ตาย เพี้ยน หรือหมดความหมายไปก่อนหน้านี้

ที่ชวนให้สะพรึงก็คือ ขนาดเริ่มต้นจัดตั้งรัฐบาลยัง “ออกตัวแรง” กันเสียขนาดนี้

เข้าไปเป็นรัฐบาลจริงๆ และต่างฝ่ายต่างประเมินตรงกัน-เหมือนกันหมดว่า รัฐบาลชุดต่อไป น่าจะเป็นรัฐบาลที่อายุสั้นติดอันดับของประวัติศาสตร์การเมืองไทย

ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ท่านจะตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างเต็มกำลัง เพื่อฉุดสังคมไทยให้หลุดออกจากหลุมดำการเมือง เศรษฐกิจ สังคม

หรือจะก้มหน้าก้มตาสะสมต้นทุนกันอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อเตรียมการรองรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ที่คาดว่าจะมาถึงในไม่ช้า

สาธุชนทั้งหลายคงพอเดาได้

ก็ขนาดยังไม่มีรัฐบาล ข่าวว่าด้วย “อภิมหาโครงการ” ทั้งหลายที่รอการสานต่อยังกระหึ่มหึ่ง

พูดกันเป็นตุเป็นตะถึงขนาดว่า ที่ต้องกั๊กต้องหวงอะไรบางอย่างไว้ เพราะจะมีรายการ “แปรรูป” แบบที่ไม่ต้องแปรรูป

คิดมูลค่าออกมาแล้วมหาศาลอสงไขย

จะไม่เชื่อก็ต้องฟังหูไว้หู

เพราะมีตัวอย่างในอดีตหมาดๆ ที่เพิ่งผ่านมาพิสูจน์ทราบอยู่ว่า

หงิมๆ หยิบชิ้นปลามันนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร

แต่อย่าเพิ่งหมดหวังในประชาธิปไตยหรือการเลือกตั้งนะครับ

มองโลกตามอย่างที่เป็นจริง ก็จะเห็นว่าประชาธิปไตยหรือการเลือกตั้งไม่ได้ผิดร้ายเลวทรามอะไร

แต่วิธีการ “บิด” หรือการเอาประชาธิปไตย-การเลือกตั้งมาเป็นเครื่องมือรับใช้อำนาจและผลประโยชน์ แบบทื่อๆ ดื้อๆ ด้านๆ นั่นต่างหากคือปัญหา

จะจัดการต้นตอปัญหา อย่าโค่นประชาธิปไตย อย่าหมดหวังในการเลือกตั้ง

ต้องจัดการทื่อ ดื้อ ด้านให้ได้ต่างหาก