เรื่องสั้น | ขณะนี้ชั่วชีวิต

ห้องใหม่มีพื้นที่ใช้สอยน้อยกว่าบ้านเก่า แม้ห้องเล็กแต่หลับสบาย ย่อมดีกว่าบ้านใหญ่ที่ไม่สงบเพราะเสียงเพลงของเพื่อนบ้านคนใหม่

เช้าแรกของที่นี่ต้อนรับผมด้วยลิฟต์เสีย มีคนร่วมเดินลงนับได้สิบกว่า แต่ละคนจ้ำจนรองเท้าทำงานประสานเสียงดังกรอกแกรก

มอเตอร์ไซค์รับจ้างรออยู่หลายคัน แม้ปากซอยจะอยู่ห่างแค่ห้าร้อยเมตร แต่ทุกนาทีมีค่า โดยเฉพาะในวันที่ลิฟต์เสียอย่างนี้ ส่วนผมเลือกเดิน

พ้นออกมาผมหันมองตัวตึกนึกถึงตอนหาที่พักทางเน็ต มีหลายที่ที่ผมเลือกโดยมีเงื่อนไขเรื่องความสุขสงบกับราคา ผลคือที่นี่เหมาะสุด แม้ตึกจะเก่าและเฟอร์นิเจอร์จะเก่ามาก แต่เหมาะที่สุดก็คือดีที่สุด ดีที่สุดที่หมายถึงดีที่สุดสำหรับวันนี้ วันที่ต้องปรับตัวใหม่เรื่องการหารายได้

เพราะเลือกชีวิตอิสระ ผมจึงลาออกจากงานประจำมาค้าขายที่ทีแรกคิดว่าง่าย เพราะการค้าขาย มันก็แค่การซื้ออะไรสักอย่างมาขายโดยตั้งราคาที่มาจากต้นทุนบวกกำไร แล้วเอากำไรไปใช้ชีวิตให้มีความสุข

แต่การค้าขายกลับไม่ใช่แค่การซื้อมาแล้วขายไป กว่าจะเชื่อว่าไม่ใช่แค่นั้นเงินในบัญชีก็ร่อยหรอ หลังๆ ผมต้องตัดค่าแรงตัวเองแล้วแปลงให้เงินที่มีอยู่กองเดียว ใช้ทั้งกินอยู่ ทั้งค้าขาย และนั่นคือสัญญาณอันตราย สุดท้ายเมื่อค้าขายไม่รอดผมก็เซ้งทุกอย่าง

แหงนมองไปที่ห้องริมชั้นแปด ม่านหน้าต่างถูกลมอ่อนๆ พัดพลิ้วคล้ายโบกมือให้กำลังใจผมที่กำลังออกไปคุยเรื่องงาน

เป็นชั่วโมงที่แสนเร่งด่วนของคนส่วนใหญ่ บนถนนรถจอดราวภาพนิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เลือกใช้สะพานลอยข้ามไปอีกฝั่ง

พอรถเริ่มขยับ หญิงสาวที่ไม่ยอมขึ้นสะพานลอยถูกชนล้มลง ผมหยิบมือถือถ่ายไว้เผื่อจะช่วยอะไรได้ ชายคนขับเปิดประตูรถ ผมเปลี่ยนจากถ่ายรูปเป็นถ่ายคลิป เขายกมือไหว้ก่อนช่วยประคองเธอลุก พอยืนได้เธอไหว้เขาจนเขารีบไหว้เธออีกครั้ง จากนั้นเขาก็เดินไปส่งเธอที่ฟุตปาธ คนที่ป้ายรถเมล์ตบมือ ชายหนุ่มหันไปยกมือไหว้กราดแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถ

สัญชาตญาณนักข่าวเก่าทำให้ผมนึกอยากลงไปสัมภาษณ์หญิงสาวถึงบทสนทนาสั้นๆ แต่ดูว่าดีงามระหว่างเขากับเธอ และอยากสัมภาษณ์คนที่ตบมือว่าคิดอย่างไรถึงตบ

ลงจากสะพานลอยเห็นคนกำลังมุง ผมตรงเข้าไปดู มันคือโต๊ะเล็กๆ ที่มีกาต้มน้ำไฟฟ้ากับกาแฟถ้วยกระดาษ โอ คิดง่าย ทำง่าย ถูกที่ ถูกเวลา ถูกลูกค้า ถูกความต้องการ ผมเดินดูรอบๆ สายไฟถูกต่อจากในบ้าน โต๊ะวางอยู่ในจุดที่ไม่ขวางทางสาธารณะ ผมเดาว่าหลายคนไม่ได้อยากดื่มกาแฟตรงนี้ บางคนดื่มมาแล้ว ขณะบางคนอาจแค่อยากใช้มันเพื่อขับไล่ความว้าวุ่นระหว่างรอ ภาพทั้งหมดทำให้ผมอยากค้าขายอีกครั้ง

ผมขออนุญาตป้าในใจเพื่อถ่ายคลิป อยากสัมภาษณ์ป้าและลูกค้าของป้าด้วย แต่แค่การเดินถ่ายคลิปก็ถูกมองด้วยสายตาที่มีเครื่องหมายคำถาม พวกเขาคงสงสัยว่าผมถ่ายอะไรก็แค่คนซื้อขายกาแฟยามเช้า นั่นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วผมถ่ายภาพความสุขต่างหาก

แล้วก็จริง มีชายคนหนึ่งเดินมาถามว่าถ่ายทำไม ผมบอกว่าผมถ่ายบรรยากาศการขายกาแฟ เขาถามว่าถ่ายติดเขาไหม ผมตอบว่าไม่แน่ใจเพราะไม่ได้มองใครเฉพาะ เขาขอให้เปิดคลิป คนเริ่มหันมามอง บางคนเดินเข้ามามุง ผมมองหน้าแต่ละคน บนหน้าผากมีคำถามว่าถ่ายทำไม คิดได้ทันทีว่าผมกำลังละเมิดความเป็นส่วนตัวของคนอื่น

ผมกล่าวขอโทษแล้วกดลบคลิป จากนั้นทุกคนก็สลายตัวยกเว้นชายคนแรก เขาขอบคุณที่ผมลบคลิปแล้วบอกว่า เพราะไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ถ่ายไปทำไม

เราลากันด้วยการเดินออกมาของผม สักพักพอเหลียวหลังกลับผมเห็นเขายังยืนรอรถ อยากชวนเขาเดินด้วยกัน แต่ไม่รู้ว่าปลายทางเขาอยู่ที่ไหน

ถึงสถานีรถไฟฟ้า นาฬิกาบอกเวลาแปดโมงสิบเก้านาที หลายคนคงเข้างานสาย ส่วนผมที่ชีวิตวันนี้ยังไม่ขึ้นกับเวลาก็รอขบวนต่อไปเพื่อให้คนที่รีบได้เดินทางก่อน อีกอย่างผมจะเข้าไปยืนเบียดเสียดในรถไฟฟ้าทำไม ในเมื่อยืนที่ชานชาลาสบายกว่า

ไม่นานคนก็ซา ผมเข้าไปในขบวนที่โหรงเหรงเลือกนั่งเก้าอี้ตัวริม ชายวัยกลางคนที่นั่งตรงข้ามถือปากกาทำท่าครุ่นคิดก่อนเขียนลงในสมุดบันทึก เขาฉีกหน้าที่เขียนเหน็บไว้กับช่องเล็กๆ ด้านข้างของกระเป๋าสะพาย สมัยก่อนผมก็อย่างนี้ คิดอะไรได้ก็จดไว้ แต่ผมไม่ชอบฉีกออกจากสมุดเพราะรู้ว่ามันจะกระจัดกระจายหายสูญ แล้วแผ่นที่หายผมก็จะลืมว่าเคยมีมัน

เขาเขียนอีกแผ่นฉีกเหน็บที่เดียวกันแล้วเขียนแผ่นต่อไป พลันกระดาษแผ่นหนึ่งร่วงลงพื้นห่างจากรองเท้าผมแค่คืบ แต่เขาไม่เห็น

ผมตั้งใจหยิบเพื่อส่งคืนขณะตาไม่ได้ตั้งใจมอง แต่ตัวหนังสือตัวใหญ่ไม่กี่ตัวก็อ่านออกได้ง่ายแม้ไม่ตั้งใจ

[อยากตาย]

ผมมองหน้าเขาพลางชะงักมือที่จะส่งคืน คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบปากกาขีดฆ่า ก.ไก่ ก่อนเขียนไม้เอกลงบน ย.ยักษ์

[อย่าตาย]

ลังเลว่าจะทำอย่างไรกับกระดาษแผ่นนี้ขณะที่เขายังคงเขียนฉีกแล้วเหน็บโดยไม่มีท่าทีรู้ตัวว่ากระดาษแผ่นหนึ่งหล่น ถ้าผมคืน เขาจะโวยที่ผมแก้ไหม คิดไปคิดมาจนรู้สึกผิดที่ถือวิสาสะ

มีเสียงประกาศสถานีต่อไป เขาเก็บทุกอย่างใส่กระเป๋ารวมทั้งกระดาษทั้งหมดที่ฉีก

เขาลุกมายืนหน้าประตูข้างที่ผมนั่ง พลันที่ประตูเปิด ผมรีบยัดกระดาษลงในซอกกระเป๋าสะพายของเขาในวินาทีสุดท้าย

ออกจากรถไฟฟ้าผมสั่งตัวเองให้ลืมเขาไปเสีย การลืมเป็นสิ่งดีเพราะทำให้เราอยู่กับปัจจุบันได้อย่างแท้จริง และนั่นคือหนึ่งในความสุขแท้

พอพ้นบันไดขั้นสุดท้ายเขาก็สลายไปจากความคิด

พื้นที่ว่างหน้าสตูดิโอของเพื่อนช่างน่าสนใจ อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ผู้คนมหาศาล เราไม่ได้นัดเวลากัน เพราะมันมีเวลาทั้งวันเนื่องจากทำงานกินนอนอยู่ที่นี่

ผมโทร.บอกว่าถึงแล้ว เพื่อนจึงบอกรหัสประตู พอเปิดเข้าไปก็เจอมันนั่งหน้าจอคลอเคล้าด้วยเพลงบรรเลงเปียโน มันขอเขียนอีกสองบรรทัดแล้วบอกให้ผมไปหาอะไรมากิน ผมเปิดตู้เย็นที่มีผลไม้สารพัดชนิด หยิบแตงโมครึ่งลูกออกมาแล้วคว้าขนมปังไส้ถั่วแดงหลังตู้เย็นมาด้วยสองห่อ

พอผมนั่งเพื่อนก็วางงาน มันถามว่าทำไมไม่ชงกาแฟ ผมถามกลับว่าเป็นธรรมเนียมใช่ไหม มันหัวเราะบอกว่าเปล่า แค่อยากกินก็กิน ผมเลยบอกว่าไม่อยากกินกาแฟ แต่อยากขายกาแฟ

ผมเล่าเรื่องป้าขายกาแฟ มันหัวเราะลั่น บอกว่าได้เลย อยากทำอะไรก็ทำ ผมจึงเล่าสถานการณ์ช่วงนี้ของตัวเองให้ฟัง บอกมันว่าผมยังอยากได้เวลาเป็นของตัวเองเหมือนเดิม แต่ก็อยากทำงานหาเงินค่าเช่าห้อง แล้วเปิดคลิปและรูปที่เพิ่งถ่ายให้มันดู มันบอกว่าไม่ต้องพูดมาก กลับมาทำงานด้วยกันดีกว่า ผมถามว่าขอย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไหม มันร้อง อ้าว ก็บอกแล้วว่าอยากทำอะไรก็ทำ

ช่วงบ่ายเพื่อนทำงานต่อ ส่วนผมขอกลับไปแจ้งออกและติดต่อรถขนย้าย ก็เป็นอันว่าผมได้นอนห้องใหม่แค่คืนเดียวสำหรับการจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าหนึ่งเดือนและค่าประกันหนึ่งเดือนที่จะโดนริบ แต่คุ้มมากหากเทียบกับความสุข ณ ขณะนี้

ที่ไม่ได้ถือว่ามาช้าแต่อย่างใด