คนส. ร้องรัฐบาลไทยเคารพความเห็นต่าง เลิกไล่ล่าผู้ลี้ภัยทางการเมืองต่างแดน

วันที่ 21 พฤษภาคม 2562 เฟซบุ๊กแฟนเพจของเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการไล่ล่าติดตามผู้ลี้ภัยทางการเมืองซึ่งลี้ภัยหลังการรัฐประหาร 2557 จากกรณีทางการเวียตนามส่งตัวผู้ลี้ภัย 3 คนกลับไทยแต่กลับเงียบหาย และกรณีกระแสข่าวจากสมาชิกวงดนตรีไฟเย็น ซึ่งเป็นวงดนตรีเพื่อชีวิตที่เคลื่อนไหวในช่วงการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ว่าจะมีการส่งคนไล่ล่าติดตามจนเกิดกระแส SaveFaiyen ขึ้น

โดยเครือข่ายฯระบุว่า

ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงทศวรรษเศษที่ผ่านมาไม่เพียงแต่ส่งผลให้บุคคลถูกจับกุมคุมขังดำเนินคดีหรือบาดเจ็บล้มตาย หากแต่ยังส่งผลให้บุคคลต้องลี้ภัยไปต่างประเทศจำนวนมากเพราะความที่สังคมและกฎหมายไทยไม่มีที่ทางให้กับความเห็นต่างมากพอ ขณะที่กระบวนการยุติธรรมก็ไม่อยู่ในสภาวะที่จะผดุงความยุติธรรมให้ได้ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่เพียงแต่ต้องใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก หากแต่ยังต้องคอยหลบหนีการไล่ล่านอกกระบวนการตามกฎหมายซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา

เดือนมิถุนายน 2559 นายอิทธิพล สุขแป้น หายตัวอย่างไร้ร่องรอยจากบ้านชานเมืองเวียงจันทน์ ปีถัดมานายวุฒิพงศ์ กชธรรมกุล ถูกนำตัวจากบ้านในเวียงจันทน์ต่อหน้าภรรยาและหายสาบสูญตั้งแต่บัดนั้น ขณะที่เดือนมกราคม 2562 มีการพบศพชายไทยสองคนในแม่น้ำโขง ผลการตรวจดีเอ็นเอตรงกับสองนักกิจกรรมที่หายตัวไป คือ นายชัชชาญ บุปผาวัลย์ และนายไกรเดช ลือเลิศ คนสนิทนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ซึ่งมีคนพบเห็นครั้งสุดท้ายในเดือนธันวาคม 2561 และเชื่อว่าน่าจะเสียชีวิตแล้วเช่นกัน นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้เห็นต่างสามคม คือ นายชูชีพ ชีวสุทธิ์ นายสยาม ธีรวุฒิ และนายกฤษณะ ทับไท ถูกจับตัวระหว่างข้ามแดนจากประเทศลาวไปประเทศเวียดนาม มีรายงานว่าทางการเวียดนามได้ส่งตัวบุคคลทั้งสามให้กับทางการไทยวันที่ 8 พฤษภาคม แต่ไม่มีใครพบเห็นพวกเขาหลังจากนั้น อีกทั้งยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับการจับกุมและควบคุมตัวพวกเขาในไทยแต่อย่างใด สถานการณ์ล่าสุดคือสมาชิกวงดนตรี “ไฟเย็น” ที่ลี้ภัยอยู่ในประเทศลาวแจ้งข่าวว่าพวกเขากำลังจะถูกกวาดล้างครั้งใหญ่

การติดตามไล่ล่าผู้ลี้ภัยในต่างประเทศเกิดขึ้นอย่างไร้ร่องรอย รัฐบาลไทยซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยปฏิเสธความเกี่ยวข้อง แม้จะเป็นผู้ “ขอความร่วมมือ” รัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านในการดำเนินการกับผู้ลี้ภัยเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยค่อนข้างดี มีการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับมายังประเทศไทยแม้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ได้รับการคุ้มครองโดยอนุสัญญาว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัยและไม่ได้มีพฤติกรรมเข้าข่ายถูกยกเว้น เช่น ก่ออาชญากรรมในประเทศนั้น นอกจากนี้ ในบางประเทศ เช่น ลาว ไม่มีสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ตั้งอยู่เพื่อให้ความคุ้มครองผู้ลี้ภัย สถานการณ์ผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ลี้ภัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านจึงอยู่ในสภาวะที่น่าวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) ติดตามเรื่องการไล่ล่าผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ลี้ภัยในต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และเห็นว่าพฤติการณ์ดังกล่าวขัดต่อหลักการและกระบวนการยุติธรรม หลักสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง และหลักการคุ้มครองผู้ลี้ภัย จึงมีข้อเรียกร้องไปยังฝ่ายที่เกี่ยวข้องดังนี้

1. รัฐบาลไทยต้องดำเนินการกับผู้ลี้ภัยตามหลักการและขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม ต้องให้สิทธิแก่ผู้ลี้ภัยในฐานะผู้ต้องหาที่คดียังไม่ถึงที่สุด และต้องเคารพอนุสัญญาว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัยที่หลายประเทศได้ลงนามไว้ โดยไม่ขอความร่วมมือกับรัฐบาลประเทศใดในลักษณะที่ขัดหรือละเมิดอนุสัญญาดังกล่าว และต้องไม่ขัดขวางการดำเนินการของรัฐบาลประเทศใดที่เป็นไปตามอนุสัญญาฉบับนี้

2. องค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ต้องให้ความคุ้มครองผู้ลี้ภัยชาวไทยอย่างเป็นระบบและจริงจัง ต้องสนับสนุนรัฐบาลประเทศที่ให้ความคุ้มครองผู้ลี้ภัยชาวไทย ต้องหาวิธีการช่วยเหลือคุ้มครองผู้ลี้ภัยชาวไทยในประเทศที่ไม่มีสำนักงานฯ ตั้งอยู่ และต้องช่วยให้ไม่มีการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวไทยกลับประเทศตามจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่ปฏิบัติกันมา

3. สังคมไทยต้องเปิดกว้างที่จะยอมรับความเห็นต่างทางการเมือง ไม่แสดงความอาฆาตมาดร้าย หรือสนับสนุนหรือให้ความชอบธรรมกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้เห็นต่างที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ และร่วมกันผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ประเทศไทยเป็นนิติรัฐที่รับรองความแตกต่างหลากหลายของพลเมืองโดยเฉพาะในส่วนของความคิดทางการเมือง

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.)
20 พฤษภาคม 2562

#SaveFaiyen