รายงานพิเศษ / มี ‘ตู่’ ก็ต้องมี ‘ป้อม-ป๊อก’ ดีล 3 พี่น้องไม่ทิ้งกัน โรยกลีบกุหลาบคัมแบ๊ก? จับตา ‘บิ๊กเบิร์ด-บิ๊กแขก’ ปราการ ‘คนใน’ สกัด ‘บิ๊กชู-บิ๊กแก้ว’ ชิง ผบ.สส.

รายงานพิเศษ

 

มี ‘ตู่’ ก็ต้องมี ‘ป้อม-ป๊อก’

ดีล 3 พี่น้องไม่ทิ้งกัน

โรยกลีบกุหลาบคัมแบ๊ก?

จับตา ‘บิ๊กเบิร์ด-บิ๊กแขก’ ปราการ ‘คนใน’

สกัด ‘บิ๊กชู-บิ๊กแก้ว’ ชิง ผบ.สส.

ความเป็น “อมตะ” ของสายไยพี่น้อง 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า รักใคร่เหนียวแน่น ไม่มีวันแยกจากกันได้

นับตั้งแต่วันที่ร่วมกินนอนด้วยกัน ในบ้านคนโสดหลังน้อย ของ “ร.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ใน ร.21 รอ. จุดเริ่มสัมพันธ์พี่น้อง 3 ทหารเสือฯ

แม้ในการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ จะมีปฏิบัติการปล่อยกระแสต้านบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ให้วางมือทางการเมือง ไม่ต้องร่วมคณะรัฐมนตรีของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะคัมแบ๊กกลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัยหนึ่งก็ตาม

แต่ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ได้ตัดสินใจไว้แล้วว่า 3 พี่น้องเรา ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องไปด้วยกัน

ในเมื่อ 3 พี่น้องตัดสินใจในการตั้งพรรคพลังประชารัฐ ในการสู้ศึกในสนามการเมืองต่อ นั่นสะท้อนว่า เราจะต้องสู้ไปด้วยกัน เพราะผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย ทั้งศึกชายแดนเขมร ทั้งศึกคนเสื้อแดง และปฏิวัติยึดอำนาจ

ถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกกับพี่ชายทั้งสองคนว่า “พี่อย่าทิ้งผมนะ”

ในเมื่อมากันจนขนาดนี้แล้ว ลงทุนลงแรงกับพรรคพลังประชารัฐไปไม่น้อย และก็ได้รับเลือกตั้งเข้ามา ด้วยคะแนนเสียงที่น่าพอใจ และคะแนนความนิยมในตัว พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังคงดีอยู่

 

ประเมินสถานการณ์ “กองหนุน” ต่างๆ แล้ว 3 พี่น้องยังเชื่อได้ว่า จะยังไปต่อได้

โดยเฉพาะการได้รับ “สัญญาณดีๆ” ให้ไปต่อ ไม่ใช่แค่ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เท่านั้น แต่รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ด้วย

แม้ว่า พล.อ.ประวิตรจะเจอมรสุมข่าวลือ ข่าวปลอม จากกรณีของบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อย่างหนัก โยงใยให้เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

แต่เพราะ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ไม่ได้โดนข้อหาใดตามกระแสข่าวลือ ที่ถูกปล่อยสะพัดจากผู้ไม่หวังดี ไม่ได้โดนข้อหาเรื่องซื้อขายตำแหน่ง แต่โดนแค่เพราะจัดโผตำรวจไม่เป็นไปตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการเท่านั้น แล้วนายตำรวจที่มาดำรงตำแหน่งก็มีปัญหาในการปฏิบัติงาน

แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์จัดวาง แต่เพราะโดนศัตรูในวงการสีกากีจ้องอยู่แล้ว จึงโดนเล่นงาน แต่ไม่ได้มีเรื่องการทุจริต จึงไม่ได้มีการตั้งข้อหา แต่ให้โอนย้ายจากข้าราชการตำรวจมาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ มาทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลเท่านั้น ไม่ได้โดนลงโทษหรือควบคุมตัวใดๆ

ยังคงไปปฏิบัติหน้าที่ที่ทำเนียบรัฐบาล และสำนักปลัดสำนักนายกฯ ที่ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ ตามปกติ แต่ไม่ขอออกสื่อใดๆ นั่นจึงไม่มีภาพเขาออกมา

ดังนั้น พล.อ.ประวิตรก็จึงไม่ได้มีชนักติดหลังใดๆ ตามกระแสข่าวลือจากกรณีของบิ๊กโจ๊ก

อีกทั้งผลงานในการดูแลความสงบเรียบร้อยในช่วง 5 ปีของรัฐบาล คสช. และโดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย

รวมทั้งการดูแลทั้งกองทัพ และตำรวจ แบบที่เรียกว่า “เอาอยู่” มาตลอด 5 ปี

ด้วยเหตุนี้ พล.อ.ประยุทธ์จึงขอให้ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่และพี่ชายที่แสนดี ไปต่อ ไปด้วยกันในรัฐบาลหน้า

ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงจองเก้าอี้ รมว.กลาโหม ไว้ในส่วนโควต้าของตนเอง

รวมทั้งเก้าอี้ รมว.มหาดไทย โดยไม่ได้ให้แก่พรรคร่วมรัฐบาลพรรคใด แม้จะมีข่าวว่า พรรคภูมิใจไทยต่อรองขอเก้าอี้ มท.1 ก็ตาม

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการให้ พล.อ.อนุพงษ์ พี่รองมาทำงานต่อ และสะท้อนได้ว่า พี่น้อง 3 ป. พร้อมสู้ศึกในสนามการเมืองสนามนี้ต่อ ไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ

แม้ว่าก่อนหน้านี้ การต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้เกิดกระแสข่าวกดดัน ไม่เอา “ป้อม-ป๊อก” เกิดขึ้น เพื่อที่จะลดเก้าอี้ในสัดส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ลง

จนทำให้เกิดกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตรจะเป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเก้าอี้เดียว แล้วให้ พล.อ.อนุพงษ์มาเป็น รมว.กลาโหม จนถึงให้ พล.อ.ประวิตรหลุด ครม. แล้วให้ พล.อ.ประยุทธ์ควบ รมว.กลาโหมเอง แล้วตั้งบิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล เป็น รมช.กลาโหมตามเดิม

แต่ในโค้งสุดท้ายนี้ แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะอ้างว่า ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นนายกฯ หรือตนเองจะได้เป็นนายกฯ หรือไม่ จึงยังตอบไม่ได้ว่า พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ จะยังอยู่ร่วม ครม.รัฐบาลใหม่หรือไม่

เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตรที่ไม่ได้บอกว่าจะวางมือทางการเมือง แต่ออกตัวว่า ยังไม่รู้ ต้องรอให้ได้นายกฯ เสียก่อน แต่ทว่า ก็ยืนยันว่าสุขภาพไม่ได้มีปัญหา สามารถทำงานต่อได้

อันเป็นการสะท้อนว่า ไม่ได้ถอดใจ ไม่ได้คิดจะวางมือการเมือง

 

ตรงกันข้าม เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ก็สะพรั่งที่บ้าน ร.1 รอ. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากสูตรในการจัดตั้งรัฐบาลลงตัว

ก่อนที่วันรุ่งขึ้น พล.อ.ประยุทธ์จะอารมณ์ดี เดินฮัมเพลง และบอกว่า “สวัสดี วันนี้เป็นวันดี ศรีสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล”

แม้จะมีการปล่อยข่าวการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีในพรรคร่วมรัฐบาลออกมา จน พล.อ.ประยุทธ์บ่นว่า “เบื่อหน่าย” บ้างก็ตาม แต่ทว่าก็เป็นเรื่องปกติของการเมืองไทย

ดังนั้น การกลับคืนสู่ทำเนียบรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง แบบจะไม่ใช่โดยตรง แต่ก็มาตามรัฐธรรมนูญ ที่จะเป็นการลบล้างตราบาปที่ว่า เคยเป็นนายกฯ ที่มาจากการรัฐประหาร

เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร ก็จะได้กลับมาเป็น รมว.กลาโหมของรัฐบาลเลือกตั้งอีกครั้ง หลังจากที่เคยเป็น รมว.กลาโหมในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาแล้ว

และเป็นการได้กลับมาเป็น รมว.กลาโหมอย่างเต็มภาคภูมิ เพราะไม่ใช่รัฐบาล คสช. ไม่ใช่รัฐบาลจากการรัฐประหารอีกแล้ว

 

แม้ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ จะยังไม่แสดงทีท่าชัดเจนเรื่องอนาคตทางการเมืองของตนเอง แต่ในบรรดานายทหารใกล้ชิด ทั้งสายทหารเสือราชินี บูรพาพยัคฆ์ และบ้านป่ารอยต่อ ร.1 รอ. ต่างก็ฟันธงกันแล้วว่า “นายป้อมไปต่อ”

โดยคาดว่า พล.อ.ประวิตรจะใช้ทีมงานเดิม คือให้ พล.อ.ชัยชาญเป็น รมช.กลาโหม แต่หากมีปัญหาเรื่องจำนวนเก้าอี้ รมต. ก็อาจจะตั้งเป็น ผช.รัฐมนตรี ช่วยทำงานต่อแทน

เพราะ พล.อ.ประวิตรก็ยังมีบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ลูกเลิฟ เป็นปลัดกลาโหมอยู่ โดยมีอายุราชการถึงกันยายน 2564 เลยทีเดียว

อีกทั้ง พล.อ.ณัฐก็มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ทั้งภายในและรอบนอกกระทรวงกลาโหม เพื่อรอการกลับมาของ พล.อ.ประวิตรด้วยนั่นเอง

แต่อย่าลืมว่า บทบาทหน้าที่ของ พล.อ.ประวิตรเมื่อคัมแบ๊กกลับมาอีกครั้ง จะแตกต่างไป ไม่ได้เป็นรองหัวหน้า คสช.อีกแล้ว แต่ทว่าจะมีหน้าที่ในการคุมเสียง จัดแถว บรรดาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่เลือกมาเองกับมือ ทั้งน้องชาย ทั้งเพื่อนร่วมรุ่น ตท.6 และนายทหารสายบูรพาพยัคฆ์

ที่สำคัญคือ การเป็นพี่ใหญ่ในรัฐบาล เพื่อให้นักการเมืองเกรงใจ เพราะ พล.อ.ประวิตรก็มีบทบาทสำคัญต่อการมีวันนี้ของพรรคพลังประชารัฐ และรวมทั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ด้วยเช่นกัน

อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์เมื่อมีทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ อยู่เคียงข้าง ก็จะยิ่งอุ่นใจและมั่นใจ เพราะยังไงพี่น้อง 3 คนนี้ ดวงชะตาก็ต้องผูกโยงกันไปตลอดชีวิต

แม้ว่าจะมีลูกน้องหลายคนอยากให้ พล.อ.ประวิตรพักผ่อน เพราะไม่อยากให้เหนื่อย หรือถูกโจมตีเช่น 5 ปีที่ผ่านมาอีกก็ตาม แต่ดูเหมือน พล.อ.ประวิตรชินเสียแล้ว เพราะเป็นทหารผ่านสนามรบมาหลายสมรภูมิ หนักกว่านี้หลายเท่านัก

เพราะหากไม่ร่วม ครม. พล.อ.ประวิตรก็ยังมีเพาเวอร์ในฐานะผู้มีบารมีนอกรัฐบาลได้ เพราะยังคงอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจต่างๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์

แต่เพราะทุกคนรู้ดีว่า พล.อ.ประวิตรเป็นห่วง พล.อ.ประยุทธ์ และเคยสัญญากันไว้ว่า จะไม่ทิ้งกัน จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตลอดไป

พล.อ.ประยุทธ์จึงเตรียมจูงมือพี่ป้อมและพี่ป๊อกกลับเข้าทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง

ในขณะที่อาจมีปัญหาที่รอทดสอบบารมีของพี่ใหญ่อย่าง พล.อ.ประวิตร ว่าจะเป็นที่เกรงใจของน้องๆ หรือไม่ ในโผโยกย้ายใหญ่ในเดือนสิงหาคมนี้

แม้จะอีกหลายเดือน แต่ทว่าในกองทัพมีการมองข้ามช็อตกันแล้วว่า จะมีการวางตัวใครเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนใหม่ ต่อจากบิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ที่จะเกษียณกันยายน 2563

เพราะสำหรับคนใน บก.ทัพไทย ต่างจับตามองไปที่บิ๊กเบิร์ด พล.อ.ปริพัฒน์ ผลาสินธุ์ ที่ขยับขึ้นมาเป็นรอง เสธ.ทหาร ในโยกย้ายกลางปี เมษายนที่ผ่านมา ที่เป็นลูกชายอดีต ผบ.ทบ. พล.อ.ประมณฑ์ ผลาสินธุ์ และ เติบโตใน บก.ทัพไทย มาตั้งแต่พันเอก โตมาในหน่วยข่าวกรอง ศรภ.จนมาเป็น ผบ.วปอ. และ รอง ผบ.สปท.

ด้วยเพราะเป็นเตรียมทหารรุ่น 20 ซึ่งเป็นรุ่นที่กำลังจ่อคิวขึ้นมารับการผ่องถ่ายอำนาจจาก ตท.18 และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.

จนมองกันว่า พล.อ.ปริพัฒน์จะกลายเป็นตัวแทน “ลูกหม้อ” บก.ทัพไทย ในการชิงเก้าอี้ เสธ.ทหาร และ ผบ.ทหารสูงสุดในอนาคต กับเพื่อน ตท.20 ที่ถูกส่งมาจาก ทบ. อย่างบิ๊กชู พล.อ.ชูชาติ บัวขาว รอง เสธ.ทหาร หรือไม่ แถมมีอายุราชการเท่ากัน

เพราะหากพลังของ ตท.20 แรง ก็ให้ ตท.20 ด้วยกันเอง ชิงกันเอง ประมาณว่า ไปคุยกันเองในรุ่น

แต่เป็นที่รู้กันดีว่า ตัวเต็ง ผบ.ทหารสูงสุด คนสำคัญที่รอคิวอยู่คือ บิ๊กแขก พล.อ.นเรนทร์ สิริภูบาล ผบ.สปท. เตรียมทหาร 21 ที่มีอายุราชการถึงกันยายน 2565

และบิ๊กกวาง พล.ท.สัณฑัศน์ นนทิภาคย์หิรัญ รอง ผบ.นทพ. จาก ตท.21 เช่นกัน แต่เกษียณกันยายน 2566 น้องรัก สายทหารเสือราชินี ของ พล.อ.ประยุทธ์

กล่าวได้ว่า พล.อ.พรพิพัฒน์ก็ต้องการให้ “คนใน” หรือลูกหม้อ บก.กองทัพไทย ได้ขึ้นมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุด เช่นที่เคยเป็นประเพณีกันมาต่อเนื่องหลายคน ตั้งแต่บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เรื่อยมาจนถึง พล.อ.พรพิพัฒน์ เองก็ล้วนเป็นคนใน จึงทำให้ตำแหน่งใน บก.ทัพไทย ไหลลื่น

 

แต่กองทัพบกส่งแคนดิเดตมาเพิ่ม โดยโผปีที่แล้ว ส่ง พล.อ.ชูชาติ (ตท.20) มาเป็นรอง เสธ.ทหาร แล้วคนหนึ่ง และคาดกันว่า โยกย้ายกันยายนนี้ จะส่งบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. (ตท.21) มาอีกคนหนึ่ง ที่คาดว่าจะมาเสียบเป็น เสธ.ทหาร เพื่อจ่อขึ้น ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อไป

พล.อ.เฉลิมพลเป็นนายทหารม้า ที่เป็นรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 และสนิทสนมกับ พล.อ.อภิรัชต์อย่างมาก จนเชื่อกันว่า ต้องการให้มาเติบโตที่ บก.ทัพไทยนี่ แถมมีอายุราชการถึงกันยายน 2566 เลยทีเดียว

ดังนั้น การเดินทางไกลจากกองทัพบกมายัง บก.กองทัพไทย ของ พล.อ.เฉลิมพล ใช่ว่าจะราบรื่น แม้จะมี พล.อ.อภิรัชต์เป็นกองหนุนก็ตาม

เพราะท้ายที่สุด รมว.กลาโหมจะต้องลงมาเคลียร์ปัญหา และตัดสินใจว่าใครเหมาะสม

แม้จะมีข่าวว่า พล.อ.อภิรัชต์ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ชัยชาญ ก่อนที่จะตั้ง พล.อ.เฉลิมพล เป็นพลเอก นั่นแล้ว

แต่หาก พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ยังคงเป็น รมว.กลาโหมอยู่ ก็คงจะจบปัญหานี้ได้ไม่ยาก

   แต่เบื้องแรก รอดูการคัมแบ๊กกลับมาเป็นนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ และการรีเทิร์นมาเป็นเจ้ากระทรวงปืนใหญ่อีกครั้งหนึ่งของ พล.อ.ประวิตร ก่อนว่า จะสะดวกโยธินอย่างที่คิดหรือไม่