สำรวจนักร้อง(เรียน)-นักร่วมงาน ในตำนานการเมืองไทย เขาทำมาหากินอะไร แล้วเคลื่อนไหวไปเพื่อ ?

นอกจากการชิงไหวชิงพริบ ห้ำหั่นทางการเมืองระหว่าง พรรคการเมืองและ ฝั่งผู้มีอำนาจ รวมถึงผู้ที่ต้องทำหน้าที่ “กรรมการ” ในแบบที่ต้องจับตาดูนาทีต่อนาทีแล้ว การเมืองไทยในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ได้สร้างตำนาน และ เหตุการณ์จากคนธรรมดา หรือไม่ได้มีภาษี มีความเป็น ส.ส.สังกัดพรรคใดๆ ทั้งที่บางส่วนเคยได้ “มีความพยายาม”ลองสมัครลงสนามแล้ว แต่ไปไม่ถึงฝั่งฝันก็มี

โดยเฉพาะในนาทีนี้ไม่มีใคร ไม่รู้จักชื่อของ “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย และนายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนผู้ที่ออกมาร้องๆๆแทบจะรายวันทุกเรื่องตั้งแต่สิ่งแวดล้อม ค่ารถเมล์ สัพเพเหระ แต่ที่สร้างชื่อในนาทีนี้คือตั้งแต่หลังเลือกตั้ง 24มีนาคม ศรีสุวรรณ กับ พรรคอนาคตใหม่ ในหลายกรณีที่โดนร้องและจะมีการฟ้องกลับ บางกรณีถึงระดับ กกต.เชิญตัวขอให้ข้อมูลเพิ่ม จุดนี้ทำให้หลายคนสนใจ บทบาทของศรีสุวรรณ ว่าสรุปเขาคือใคร ทำไปเพื่ออะไร ได้ประกอบสัมมาอาชีพอะไรเป็นหลัก

ข้อมูลก่อนหน้านี้ บีบีซีไทยและ ไทยพีบีเอสเคยรวบรวมและสัมภาษณ์เชิงลึกกับเจ้าตัวไว้ว่า ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับความทุกข์ร้อนของชาวบ้านตั้งแต่สมัยศึกษาระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาแม่โจ้ ได้ต่อสู้เรียกร้องให้ชาวบ้านหลายต่อหลายครั้ง จนต่อมาเลือกทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ซึ่งจะว่าไปแล้วมีมากกว่า3-4พันคดีที่เคยยื่นร้องไป โดยยืยันทำหน้าที่ตรวจสอบทุกรัฐบาลเหมือนกัน ซึ่งถ้าเราไปค้นข้อมูลดูกระทั่งเรื่องบิ๊กตู่-บิ๊กป๊อก รับกระเช้า ศรีสุวรรณก็ไปร้อง สนช.7คนขาดประชุมก็ร้อง บริษัทบุตรชายของพล.อ.ปรีชาก่อสร้างรับงานในพื้นที่พิษณุโลกก็ร้อง หรือแม้แต่เรื่อง “หมุด” เขาก็ร้อง จนเคยถูกทหารไปตามพบที่บ้าน

ศรีสุวรรณเคยกล่าวเอาไว้ว่า ทุกคดีจะไม่ขอรับค่าตอบแทน แต่บางครั้งจะมีชาวบ้านช่วยลงขันเป็นค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายอื่นๆ คดีละ 5,000-10,000 บาท รวมถึงยังรับทำงานวิจัยให้กับสถาบันวิชาการ และมหาวิทยาลัย (อ้างอิง https://news.thaipbs.or.th/content/269049 )

จากนี้เราก็ต้องให้เวลาพิสูจน์เอาว่า ที่ศรีสุวรรณทำลงไป เขาหวังผลอะไรในภายภาคหน้าหรือเปล่า เพราะเจ้าตัวเคยลั่นวาจาเอาไว้ว่าไม่มีความ “กระสันทางการเมือง” แม้ในอดีตจะเคยสนใจและเคยลงสมัคร ส.ว. หรือเคยเป็นรองหัวหน้าพรรครักษ์ถิ่นไทยมาแล้วก็ตาม

อีกหนึ่งคนที่มีบทบาทสำคัญในทศวรรษที่ผ่านมาและในช่วงนี้เช่นกัน คือ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้ที่เคยเป็นคนที่ทำให้ อดีตนายกสมัคร สุนทรเวช ต้องหลุดจากตำแหน่งมาแล้วในปี 2551 จากการที่จัดรายการชิมไปบ่นไปว่าเข้าข่ายเป็นลูกจ้างหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ จนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้อดีตนายกรัฐต้องหลุดจากเก้าอี้ไป

จากการตรวจสอบในอดีตตั้งแต่การขายหุ้นชิน มาจนถึงถูกฝ่าย อดีตนายกฯทักษิณ กล่าวหาว่ามีความใกล้ชิดกับ กับคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาอดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน แต่แล้วไปๆมาๆเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานในปี 2553 จากบทบาทที่เคยตรวจสอบฝั่งทักษิณมาอย่างต่อเนื่อง จนวันหนึ่งเขาก็ได้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยและ ลงสมัครในระบบ ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วย และวันนี้ก็มีหลายกรณีหลายล็อกที่เขาไปยื่นฟ้องศาลเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง ก็ต้องจับตาดูว่าเขาจะกลายมาเป็นแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ได้อีกหรือไม่ ?

ข้ามมาที่อีกหนึ่งตำนานที่อาจจะไม่ใช่นักร้อง แต่เขาคือนักร่วมงาน นักประท้วงในตำนาน คือ วรัญชัย โชคชนะ อย่างล่าสุดการเดินทางไปให้ข้อมูลที่ กกต.ของ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ปรากฎว่าเราก็จะเห็นวรัญชัยไปโผล่ หรืองานทุกกิจกรรมของคนอยากเลือกตั้งทุกครั้งก็ต้องมีเขา

ด้วยความหน้าช้ำจำเจ จนคนอาจจะมองแล้วไม่ได้สนใจอะไร แต่ด้วยความที่ผู้เขียนสงสัย เลยชวนเจ้าตัวสนทนาจนได้คำตอบของคำถามว่า “ทำไมผมต้องไปทุกงานแล้วไปมากกว่าคนอื่น?” เจ้าตัวก็ยืนยันว่ามีความสนใจการเมืองเข้าไปในสายเลือด ติดตามการเมืองมาอย่างยาวนาน แล้วกล้าพูดได้เต็มปากว่าไม่มีคนไทยคนไหนที่จะมาโผล่ได้ทุกงานแบบเขาแล้ว (แถมพูดติดตลกว่าถ้ามีรางวัลร่วมงานเยอะสุดก็คงได้รางวัลไปแล้ว)

ความสนใจฝักใฝ่ประชาธิปไตยเกิดขึ้นตั้งแต่รับราชการ(ครู)เมื่อปี 2519  ผมสนใจการเมืองมาตั้งแต่ตอนนั้นต่อมาผมก็ถูกกลั่นแกล้งโดยการถูกโยกย้าย ต่อมาก็สู้และเรียกร้อวงมาต่อเนื่อง พอมาถึงช่วงที่มีการเลือกตั้งก็พยายามหากพรรคการเมืองลงได้ลงบ้างไม่ได้ลงบ้าง สมาชิกวุฒิสภาผมก็ลง ผู้ว่ากรุงเทพฯผมก็สมัครทุกครั้ง ถึง 6 ครั้ง ซึ่งแนวคิดในใจเรื่องประชาธิปไตยของวรัญชัยมองว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน เลยต้องทำทุกทางไปทุกงานเมื่อทราบข่าวว่ามี การจัดอภิปรายสัมมนา การรวมตัวการชุมนุมในช่วงที่ไม่มีการเลือกตั้งผมก็ไปทุกงาน

จวบจนอายุจะ70แล้วก็ไม่คิดเลยว่าประเทศเราจะวนกลับมาสู่วงจรของเผด็จการ อีกผมร่วมต่อสู้มาตั้งนานก่อนพันธมิตรฯประชาชนเสื้อแดงเสื้อเหลืองซึ่งคนในรุ่นราวคราวเดียวก็เริ่มล้มหายตายจากไปแล้ว ตอนนี้เหลือผมคนเดียวที่ยังสู้อยู่

ต่อข้อสงสัยที่ว่าทำมาหากินอะไรเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายเคลื่อนไหว เจ้าตัวตอบทันทีว่า งานการจัดเสวนาหลายครั้งจัดขึ้นตามโรงแรมตามมหาวิทยาลัย ผมทราบข่าวจากโทรทัศน์-วิทยุ-หนังสือพิมพ์ (ไม่ได้เล่นโซเชียล) ผมไปหมด ขออย่างเดียวให้เป็นเรื่องของการเมือง โดยใช้พาหนะคู่ใจมอเตอร์ไซค์ไปตัวคนเดียว ถามว่าเงินทองมาจากไหนส่วนหนึ่งก็มีการเก็บไว้หลังจากเคยได้บำเหน็จ และพรรคพวกเพื่อนฝูงคนรู้จักกัน ไม่มีนายทุนมาให้ ที่สำคัญผมไม่เคยเล่นพนันไม่เคยเที่ยวกลางคืนไม่ได้กินเหล้า ชีวิตจึงไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมาก

และขอยืนยันว่าผมไม่ใช่คนเพี้ยนไม่ใช่คนบ้า คนในเวทีการเมืองก็เข้ามาบอกว่าให้สู้ๆ การมองแล้วแต่คนจะมอง การผมออกมาต่อสู้อย่างนี้มันก็เหมือนกับคุณศรีสุวรรณ จะบอกว่าเพี้ยนมันก็ไม่ถูกนะ เวลาไปสัมมนาผมก็ยกมือถามแสดงความเห็นส่วนใหญ่เป็นคนแรกด้วยซ้ำ ไม่เคยมีงานไหนใครเข้ามาบอกว่าอย่าเข้ามาหรือกีดกันเรามีแต่คนบอกว่าดีแล้วเข้ามาช่วยกันคิดช่วยกันทำเวลาผมเสนอความเห็นผมก็เสนอเรื่องดีๆมีสาระ

ส่วนการที่ออกมาบ่อยๆ ของผมจะทำให้เสียเครดิตหรือเปล่า ผมก็ยืนยันว่าผมยังออกมาน้อยกว่าศรีสุวรรณ จรรยา น้อยกว่าคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผมไม่ได้ออกมาเพื่อให้เป็นข่าวดังแบบพวกนั้น แต่ผมอยากได้ประชาธิปไตยผมมีโอกาสได้เห็นมาแล้ว ในช่วงชีวิตมันมีแต่เหตุการณ์สูญเสียและได้มาและก็สูญเสียอีกครั้ง การเมืองไทยก็ล้มลุกคลุกคลาน จนถึงวันนี้ยุคนี้เป็นยุคที่ประชาธิปไตยถูกทำลายมากที่สุด แต่ผมจะไม่ย่อท้อแล้วก็ไม่ถอยแม้ว่ายากจะกลับไปอย่างเก่าวันนี้ผมก็จะต่อสู้ด้วยการพยายามปิดช่องไม่ให้คนนอกและ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชาเป็นนายกอีก และ ส่วนตัวยังเชื่อในพลังของนักศึกษา ที่จะออกมาแสดงความเห็นแสดงจุดยืน ซึ่งก่อนผมจะตาย ผมอยากจะได้เห็นประชาธิปไตยยั่งยืนยาวสักครั้ง กว่า 43 ปีที่ผมออกมาเคลื่อนไหว ไม่ได้เคยเคลื่อนไหวเสียหายรุนแรง และไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมาตามติด ผมก็เป็นของผมแบบนี้ และไม่เคยท้อถอยกับคนที่มาติฉินนินทาเรา  วรัญชัยกล่าว