คำ ผกา | ไม่ยืนสู้ก็สูญพันธุ์

คำ ผกา

ในคืนวันที่ 25 มีนาคม หลังจากที่จัดรายการทูไนท์ไทยแลนด์เสร็จ และในเกือบสองชั่วโมงของการจัดรายการก็มีแต่เรื่องเลือกตั้ง

ฉันถึงกับต้องรำพึงออกมาว่า “นี่เราเลือกตั้งไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม”

เพราะมันคือมหากาพย์ของการทวงเลือกตั้ง เลื่อนเลือกตั้ง ทวงเลือกตั้ง เลื่อนเลือกตั้ง

สุดท้ายภายใต้กติกาอันประหลาด ระบบการเลือกตั้งอันแสนพิสดารที่ชื่อ “จัดสรรปันส่วนผสม” บวกกับการทำงานของ กกต. ที่ทุกคนต่างงงใจกับสารพัดความ “รั่ว”

สุดท้ายการเลือกตั้งก็เกิดขึ้น และการรายงานผลอย่างไม่เป็นทางการก็เกิดขึ้นจนได้

มันเป็นการเลือกตั้งที่ค่อนข้างจะเลวทราม แต่สำหรับประชาชนที่ไม่มีทางเลือกอย่างเรา มีเลือกตั้งก็ดีกว่าไม่มีการเลือกตั้ง

เราอยู่ในสภาพเหมือนคนถูกขังไว้ในห้องที่ไม่มีอากาศหายใจ แล้ววันหนึ่งเราสู้ งัดสู้ แงะสู้ หาทางเจาะรูได้รูเล็กๆ พอให้มีอากาศและแสงแดดลอดเข้าริบหรี่

เรียกได้ว่ามีรูดีกว่าไม่มีรู แล้วเราก็หวังว่าเราจะใช้รูเล็กๆ นี้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตของเรา

ทั้งพรรคเพื่อไทยและพลังประชารัฐต่างประกาศเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

แม้พรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.เขตมากกว่า แต่พลังประชารัฐเมื่อรวมจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็อาจทำให้พวกเขามั่นใจว่าเขาจะมีจำนวน ส.ส.เป็นกอบเป็นกำพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล (อันนี้ไม่เพียงแต่ไม่คำนึงถึงมารยาททางการเมืองที่ต้องให้พรรคที่มี ส.ส.มากที่สุดตั้งรัฐบาลก่อน แต่ยังอุตส่าห์อ้างว่าป๊อปปูลาร์โหวต บอกว่า ถึงชั้นได้ ส.ส.น้อย แต่ชั้นชนะคะแนนย่ะ คะแนนรวมทั้งประเทศมากกว่า ราวกับว่าเราไม่ได้มีระบอบประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน แต่เป็นประชาธิปไตยทางตรงแบบเลือกตั้งหัวหน้าห้อง นับคะแนนรายหัวกันเลยแบบนั้นหรือ?)

แต่เอาละ ไหนๆ ก็ยักแย่ยักยันมาจนถึงขั้นนี้ ฉันก็บอกว่าอยากทำอะไรก็ทำ มันคงไม่มีอะไรที่น่าเกลียดน้อยกว่านี้ได้อีกแล้ว และว่ากันตามสถานการณ์จริง ฉันก็ไม่คิดว่าพรรคการเมืองฝ่ายไม่เอาสืบทอดอำนาจจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อยู่ดี

และขออนุญาตเดาหน้าตาของรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อประเมินว่าประชาชนอย่างเราๆ ควรทำตัวอย่างไรต่อไปจากนี้

การฟอร์มรัฐบาลจากฝั่งที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนน่าจะประกอบไปด้วย เพื่อไทย, อนาคตใหม่, เสรีรวมไทย, ประชาชาติ, เพื่อชาติ รวมเสียงแล้วได้ประมาณ 248 เสียง

จากฝั่งพลังประชารัฐเป็นแกน ประกอบไปด้วย ประชาธิปัตย์, ภูมิใจไทย, ชาติไทยพัฒนา, รวมพลังประชารัฐ, ชาติพัฒนา, เศรษฐกิจใหม่ ฯลฯ น่าจะได้ 244 เสียง

บวกและลบใบเหลืองใบแดง ปรากฏการณ์งูเห่า การย้ายพรรค อำนาจ บารมี อิทธิพล ออกไปในทางที่ฉันเชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐจะฟอร์มรัฐบาลสำเร็จ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออย่างแน่นอน และถ้าอยู่ได้ยาวครบ 4 ปี จะกลายเป็นนายกฯ ที่อยู่ในตำแหน่งเกือบทศวรรษ สร้างสถิติใหม่ให้กับประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็เป็นไปได้ (นั่งเขียนอยู่ก็ภาวนาให้ตัวเองเดาผิด)

มาเดากันต่อเล่นๆ ดีกว่าว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง สังคมไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกันอย่างไรบ้าง?

ว่ากันอย่างหยาบๆ พัฒนาการการเมืองไทยหลัง 2475 เป็นแบบนี้

เผด็จการทหาร (2500-2520), ประชาธิปไตยครึ่งใบ (2520-2530), ประชาธิปไตยเต็มใบ (2530-2533) คั่นด้วยรัฐประหาร, พฤษภาทมิฬไล่เผด็จการ จากนั้นมีประชาธิปไตยเต็มใบอีกรอบ (2540-2549) จากนั้นเข้าสู่วงจรรัฐประหารจนถึงวันที่เราเลือกตั้งแบบพิสดารวันนี้

ไล่กันไปตามไทม์ไลน์นี้ในยุคเผด็จการและประชาธิปไตยครึ่งใบ เป็นระบบรัฐรวมศูนย์ ราชการเป็นใหญ่ ข้าราชการเป็นเจ้าคนนายคน พรรคการเมือง นักการเมือง คือเจ้าพ่อท้องถิ่น ผู้มีอิทธิพล ความสัมพันธ์ของข้าราชการ นักการเมือง เจ้าพ่อท้องถิ่น ประชาชน อยู่ในระบบอุปถัมภ์ สร้างบุญคุณ

ในระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ นายกฯ มาจากคนนอก รัฐบาลเป็นรัฐบาลผสม พรรคการเมืองไม่สามารถผลักดันนโยบายอะไรได้

การเมืองคือพื้นที่แสวงหาผลประโยชน์ คอร์รัปชั่น กินหัวคิว โยนเศษเงินให้ประชาชนเลี้ยงไข้ไปวันๆ เช่น นโยบายเงินผัน มีประชานิยมที่เน้นการ “แจก” เศษอาหารที่มากพอที่จะไม่ให้ประชาชนลุกฮือมาต่อต้านรัฐบาล แต่ก็ต้องไม่มาก หรือมีนโยบายที่ empower ประชาชน เรียกได้ว่าเป็นเรื่องของการแจกปลา (ผอมๆ) แต่ไม่แจกเบ็ดที่แท้ทรู เพราะประชาชนมีเบ็ดเมื่อไหร่ รัฐบาลแบบนี้ก็อยู่ไม่ได้

แนวประเพณีประจบสอพลอ การวิ่งเต้น เส้นสาย การยัดเงินใต้โต๊ะ การเกณฑ์คนเกณฑ์ข้าราชการมาต้อนรับเจ้าใหญ่นายโตคืองานหลักของข้าราชการ

พิธีกรรมงานตัดริบบิ้นจะอู้ฟู่ กลุ่มภริยาข้าราชการมีกิจกรรม ฟ้อนรำต้อนรับนายกฯ แต่งชุด แต่งตัวเหมือนๆ กัน ทำหน้าที่หลังบ้านเพื่อดันให้ผัวได้ตำแหน่งสูงๆ การวิ่งเต้น “หลังบ้าน” เป็นกิจกรรมคู่ขนานของข้าราชการทุกผู้ทุกคน

หลัง 2540 มีประชาธิปไตยเต็มใบ มีการกระจายอำนาจ มีการปฏิรูประบบราชการให้เล็กลง มีประสิทธิภาพ มี one stop service ลดความเทอะทะซ้ำซ้อนของราชการ หมดยุครัฐบาลผสม พรรคการเมือง นักการเมืองต้องแข่งกันที่นโยบาย เจ้าพ่อ นักเลง มาเฟียท้องถิ่น ต้องปรับตัวมาเป็นนักการเมืองมืออาชีพ ข้าราชการยุคนั้นทำงานแบบมืออาชีพ คำว่าเจ้าคนนายคนหายไป กลายเป็นคนเท่ากัน การไปติดต่อหน่วยงานราชการมีความทันสมัย ไม่ลำไย ทำพาสปอร์ตต่างๆ ก็เสร็จเรียบร้อยโดยง่าย มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย บทบาทผู้ว่าฯ นายอำเภอหายไป บทบาทนักการเมืองท้องถิ่น นายกเล็กต่างๆ คือผู้มีบทบาทในงานการเมือง งานพัฒนาเมือง

บทบาทสมาคมภริยาข้าราชการก็ดูเหมือนจะหายไปด้วยเช่นกัน หรือมีอยู่แบบหยากไย่ขึ้นนิดหน่อย

แต่หลังการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคมนี้ เมื่อพรรคพลังประชารัฐและพรรคพันธมิตรจัดตั้งรัฐบาลผสมสำเร็จ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการเมืองไทยจะย้อนไปสู่ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ

องคาพยพทางการเมืองจะอยู่ใต้ร่มเงาของรัฐราชการ กองทัพ องค์กรอิสระ และวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งของนายกรัฐมนตรีคนนอก

เสถียรภาพของรัฐบาลที่มีกองทัพ รัฐราชการ มหาดไทยเป็นส่วนหัวนั้นต้องอาศัยนักการเมือง ส.ส. ผู้แทนราษฎร คอยค้ำจุน

ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือการต่อรองผลประโยชน์ที่ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการของการออกแบบนโยบาย

แต่เราจะเจอสภาพนักการเมือง รัฐมนตรี ส.ส. ที่เป็นผู้รับเหมาเอย อะไรเอย มาต่อรองตำแหน่ง เก้าอี้ โครงการเพื่อผันเงินไปเลี้ยง “พรรค” และ “สมาชิกพรรค” และเอาไปดูแลฐานเสียงในพื้นที่ สะสมอำนาจ บารมี อิทธิพลของตนเองในพื้นที่การเมืองของตัวเองต่อไป

อีกขาหนึ่งคือ “ทุนประชารัฐ” ของนายทุนที่จะผูกขาดเศรษฐกิจปากท้องของคนทั้งประเทศเอาไว้

บอกเลยว่า ถึงเวลานั้นประชาชนจะเหมือนมดเหมือนไร เล็กเสียยิ่งกว่าเล็ก เพราะเราจะถูกทั้งรัฐทั้งทุนบีบจนหน้าเขียวหน้าเหลืองของแท้

ปัญหาเรื่องทรัพยากร ที่ดิน ป่า อากาศ และน้ำจะวิกฤตชนิดที่ต้องก้มหน้าตายผ่อนส่ง

เป็นภาวะที่ฉันอยากเรียกว่า helplessness ของจริง

ถ้านึกอะไรไม่ออก ขอให้นึกถึงวิกฤต pm 2.5 ในภาคเหนือตอนบน ที่ร้องแรกแหกกระเชอไปก็เท่านั้น จะไม่มีใครฟัง ไม่มีใครสนใจไยดี ไม่แก้ปัญหาแล้วไง ใครแคร์

หรือถ้าอยากรู้ว่าข้าราชการจะกร่างและตีมึนกระโชกเราได้แค่ไหนก็ดูการแถลงข่าวของ กกต. ในบ่ายวันที่ 25 มีนาคม ไว้เป็นโมเดลได้

การเมืองไทยจะเข้าสู่ภาวะ “เพลินวาน” ย้อนยุคสุดซอย ถึงตอนนี้คนที่พอจะสะสมเงินทองเอาไว้บ้างก็ควรรีบตัดสินใจส่งลูกเรียนอินเตอร์ ไปทำงานเมืองนอก แบบคนฟิลิปปินส์ หรือละตินอเมริกา ที่คนพอมีกำลัง มีโอกาสไปทำมาหากิน ตั้งรกรากอยู่ประเทศอื่นกันหมด

เหลือแต่พวกอภิสิทธิ์ชน Tier ++ ที่การอยู่ในประเทศตนเองมันแฮปปี้ที่สุด เพราะทำมาหากินกับภาวะ helplessness ของคนจนและคนไร้สิทธิ์ทั้งประเทศ และมีชีวิตแบบ Crazy rich Asian ที่ประเทศโลกที่ 1 ให้ไม่ได้

อีกส่วนหนึ่งที่ตกค้างก็คือคนจน คนไม่มีทางไป คนที่จะถูกทำให้โง่ลง อ่อนแอลงทั้งทางกาย ใจ สมอง สุขภาพอย่างต่อเนื่องในประเทศนี้

แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงและอาจทำให้เรามีความหวังขึ้นนิดหน่อยคือ

เราจะมีฝ่ายค้านที่ฝากผีฝากไข้ไว้ได้แบบ พรรคเพื่อไทยกับพรรคอนาคตใหม่

บวกกับพลังคนรุ่นใหม่ ที่ถูกเรียกว่า “ฟ้า” ทั้งหลาย ที่จะไม่ยอมอยู่กับ “การเมืองเก่า” อีกต่อไป

วันนี้การเมืองไทยมีสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนคือ พรรคการเมืองในฐานะสถาบันทางการเมืองที่มีจิตวิญญาณประชาธิปไตยและยืนอยู่บนหลักการของการปกป้องและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

พรรคเพื่อไทยต้องกลายมาเป็นนักปกป้องประชาธิปไตยจากสถานการณ์และวิกฤตที่ตกเป็นฝ่ายผู้ถูกกระทำครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนพรรคอนาคตใหม่กำเนิดขึ้นมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ ถ้าสองพรรคนี้ยืนหยัด และยืนระยะได้ในการเมืองไทยไปยาวๆ ฉันเชื่อว่าโดยร่วมกับพลังทางสังคมที่เป็น civil society เราจะช่วยกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับบ้านเมืองได้

แล้วมีความท้าทายอะไรที่จะทำให้สองพรรคนี้ยืนระยะไม่ได้?

อย่าลืมว่าการได้เป็นรัฐบาลหมายถึงการครอบครองอำนาจในการใช้ทรัพยากร เครื่องไม้เครื่องมือในระบบราชการ สร้าง “ความนิยม” หรือสั่งสมอิทธิพลในพื้นที่ของพรรคการเมืองฝั่งรัฐบาล ตั้งแต่การสะสมบุญคุณ การสร้างเครือข่าย

การทำให้ประชาชนทะเลาะกันแล้วมาถือหางผู้บารมีแต่ละกลุ่ม แต่ละมุ้ง

การใช้นโยบายสังคมสงเคราะห์ให้ประชาชนอ่อนแอ ขณะเดียวกันก็ต้องพึ่งรัฐบาลแบบไร้ทางเลือก

ส่วนพรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทย ถ้าทำแต่งานอุดมการณ์กับคนชั้นกลางและเหล่า “ฟ้า” ในเมือง หรือพรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นใน loyalty ของฐานเสียงที่มีต่อพรรคมากเกินไปจนละเลย “พื้นที่” โอกาสที่ทั้งสองพรรคจะดับสูญไปจากชีวิตของประชาชนก็มีสูงมากเช่นกัน

ยิ่งทั้งสองพรรคนี้ไม่ได้เป็นรัฐบาล ทั้งสองพรรคยิ่งต้องขยันทำงานในพื้นที่ ผละออกมาจากโลกโซเชียลที่เต็มไปด้วยกระแส ความหวือหวา อารมณ์ sentiment แล้วต้องใช้ความเป็นผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านเดินหน้าทำงานให้กับประชาชนตัวเป็นๆ ในภูมิภาคให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

จังหวัดเชียงใหม่ที่เลือกเพื่อไทยยกจังหวัดนั้น ส.ส.เขตต้องโผล่หน้าไปรับฟังทุกข์สุขประชาชน ไม่ใช่อาศัยบารมีพรรคอย่างเดียว

ภาคเหนือมีวิกฤต pm 2.5 ไม่มี ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ประชาชนเลือกไป หากยังเงียบ ไม่หือไม่อือ ไม่ออกโรง เบื้อใบ้ หายสาบสูญ ก็ต้องบอกว่า ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป คนก็คงหมดกำลังใจจะสนับสนุน อย่าคิดว่าถ้าเป็นเพื่อไทย ต่อให้ส่งเสาไฟฟ้ามาก็เลือก มันไม่จริง!

และแม้แต่ไม่เป็น ส.ส.ตลอดเวลาของการหาเสียง ที่เชียงใหม่มีวิกฤตมากๆ ฉันไม่เคยได้ยินผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยในจังหวัดเชียงใหม่คนไหนออกมาพูดเรื่องนี้เลยสักครั้งสักคน จนนึกว่าเป็นใบ้หรือหูหนวกกันไปหมดแล้ว

การเดินทางของประชาธิปไตยของประเทศนี้ยังอีกไกล

พรรคการเมืองที่เป็นความหวังของประชาธิปไตยก็อย่าให้มีแต่คุณหญิงหน่อย คุณชัชชาติ ปิยบุตร ธนาธรเลย – ส.ส.พรรค สมาชิกพรรคคนอื่นๆ ต้องทำงานในท้องถิ่น ในพื้นที่ให้ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ยืนหยัด ยืนยัน ในการทำงานให้ประชาชนด้วย

อย่าร้องขอ โอดครวญหาความเห็นใจเป็นลูกนกไปวันๆ

เพราะหากเป็นเช่นนั้น พวกเรานี่แหละที่จะสูญพันธุ์กันหมด