ล้วงตัวตน ค้นชีวิต “ลุงเก๊ง” ส.ส.ชนเผ่าม้ง คนแรก! กับ ชีวิตวัยเด็กท่ามกลางลูกระเบิดและความขัดแย้งของคนไทย

ปรากฏการณ์ “อนาคตใหม่” ส่ง “ลุงเก๊ง” เข้าสภาสำเร็จ ส.ส.ชนเผ่า “ม้ง” คนแรก!

ด้วยปรากฏการณ์อันเหลือเชื่อของพรรคอนาคตใหม่ ที่ได้คะแนนเสียงถล่มทลายในการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 กลายเป็นพลังหนุนส่งให้ “ลุงเก๊ง” นายณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์ ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 24 ของพรรคอนาคตใหม่ผ่านเข้าสภา โดยตอนนี้เลื่อนขั้นเป็นว่าที่ ส.ส.แล้ว

นับเป็นอีกประวัติศาสตร์หนึ่งในหน้าการเมืองไทยที่ต้องจารึก นอกจากการจัดการเลือกตั้งสำเร็จในรอบหลายปีที่ผ่านมาหลังการเข้ายึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดนี้ยังเปิดโอกาสให้ทุกคนในประเทศไทยมีส่วนร่วมต่อการเมือง ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าใดๆ ก็ตาม

“ลุงเก๊ง” จึงกลายเป็นว่าที่ ส.ส.ม้งคนแรกในสภา

แต่ “ลุงเก๊ง” ก็ไม่ใช่ม้งคนเดียวที่โดดมาสมัคร ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งนี้

ในการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา มีตัวแทนความหวังของกลุ่มชาติพันธุ์ร่วมในสนามรบนี้ ผ่านพรรคการเมืองหลากหลายพรรค อาทิ พรรคอนาคตใหม่ พรรคพลังท้องถิ่นไท พรรคประชาธรรมไท พรรคประชาชาติ พรรคประชาภิวัฒน์

บางพรรคประกาศตัวพาชาวม้งเข้าชิง ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ โดยเฉพาะ 3 ตัวเต็ง อย่างลุงเก๊ง ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 24 พรรคอนาคตใหม่, นายยอดยิ่ง แสนยากุล ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 12 พรรคพลังท้องถิ่นไท และนายวีระเดช โรจนคีรีสันติ ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับ 40 พรรคประชาชาติ

ขณะเดียวกันในระบบแบ่งเขต พบว่าพรรคประชาชาติที่ถูกมองเป็นพรรคศาสนา กลับมีตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์เป็นผู้ท้าชิง ส.ส.มากที่สุดถึง 17 คน กระจายกำลังในโซนจังหวัดน่าน พะเยา เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก พิษณุโลก และเพชรบูรณ์

ส่วนหนึ่งเพราะหลักการของพรรค อย่างที่เลขาธิการพรรค พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ระบุว่า พรรคประชาชาติก่อกำเนิดขึ้นเพื่อให้สังคมมนุษย์ที่มีความแตกต่างหลากหลายเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีความผาสุก และมีพื้นที่ทางการเมือง เพราะมนุษย์ทุกคนมีเกียรติ ศักดิ์ศรี และมีสิทธิเสรีภาพเสมอภาคเท่าเทียมกัน

ถ้าประชาชนชาติพันธุ์ต่างๆ ไม่มีพื้นที่ทางการเมืองแล้วจะถูกคนกลุ่มหนึ่งออกกฎหมายแย่งทรัพยากร ทำให้ประชาชนไม่มีสิทธิเสมอกัน พรรคจะต้องแก้ไข และจะทำให้มีโรงเรียนชาติพันธุ์เกิดขึ้นเพื่อเป็นสถานศึกษาของชาติพันธุ์ตนเองด้วย

ทั้งนี้ หากศึกษารายละเอียดดีๆ จุดขายของผู้สมัคร ส.ส.ม้งหลายพรรคนั้นไม่ต่างกันมาก

บ้างเน้นการส่งเสริมพหุวัฒนธรรม การพิสูจน์สิทธิในที่ดินบริเวณผืนป่าให้แก่คนที่เคยถือครองก่อนถูกประกาศเป็นอุทยานฯ ป่าสงวนฯ พื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่สงวนสำหรับหน่วยงานราชการ หรือที่ราชพัสดุ เสนอกฎหมาย พ.ร.บ.สภาชาติพันธุ์และชนเผ่า เพื่อสร้างความมั่นคงด้านสัญชาติ ที่ทำกิน

บ้างเน้นกระบวนการยุติธรรม พัฒนาพื้นที่อัตลักษณ์พิเศษของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ รวมไปถึงขยายสิทธิ์ทางการเมืองโดยให้ชาติพันธุ์และชนเผ่ามีตัวแทนในการทำหน้าที่ ส.ว.

โดยความพยายามของนายเพียรเกตุ มากมีธนกุญชร และนายชาญวิทย์ เฟื่องฟูกิจการ ประธานและรองประธานเครือข่ายตระกูลม้งในประเทศ ตั้งเป้าปณิธานอันแน่วแน่ที่จะนำพาพี่น้องม้งไทยสู่สภาด้วยการส่งตัวแทนลงสมัคร ส.ส.จากแต่ละตระกูลแซ่ให้ครบทั้ง 18 แซ่ (แต่ในไทยมี 15 แซ่ เลยส่งตามที่มี) แต่ดูยังไม่สำเร็จ

มีเพียง “ลุงเก๊ง” ชาวม้ง บ้านรวมไทย 17 หมู่บ้านทรัพย์เจริญ หมู่ 7 ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก ที่ตอนนี้กลายเป็นว่าที่ผู้แทนราษฎรชาวม้งคนแรกในประเทศไทย และคนแรกของ อ.พบพระ จ.ตาก ซึ่งเป็นที่ฮือฮาของคนจังหวัดตากอย่างมาก

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ลุงเก๊งกล่าวในงานปราศรัยใหญ่ของพรรคอนาคตใหม่ ว่า เขาเป็นชนเผ่าม้ง เกิดที่ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ชีวิตวัยเด็กอยู่ท่ามกลางลูกระเบิดและความขัดแย้งของคนไทย เห็นพี่น้องเสียเลือดเสียเนื้อ คนในครอบครัวต้องสูญเสีย ชีวิตเศร้า และน่ารันทด จึงต้องมายืนตรงนี้

ชีวิตวัยเด็ก ไม่มีเงินเรียน ไม่มี กยศ.ให้กู้ยืม แต่ถึงแม้เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกอนาคตของเราได้ หลายคนเรียกเราว่าชาวเขา แต่ผมจะบอกว่าเราคือชาวเรา ไม่ใช่ชาวเขา เรามีเรื่องดีๆ อยู่ในป่าในดอย พวกเราอยู่ในป่า คือคนที่อนุรักษ์ป่าได้ดีที่สุด ชีวิตคนดอย เราเกิดที่นั่น อยู่ที่นั่น

หลัง “ลุงเก๊ง” ตัดสินใจทิ้งชีวิตป่าดอย เข้าสู่สภาทำหน้าที่ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ เพราะปัญหาที่หน่วยงานทั้งหลายไม่ว่ากี่รายต่อกี่รายก็ยังแก้ไขให้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ โดยมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องโดดมาลงการเมืองคือ “ส่วนกลางที่นั่งอยู่ในห้องแอร์เขียนตามกฎหมายมาไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของเราบนดอย ปัญหาของเรา เรารู้ดี แต่คนที่เขียนกฎหมายมาแก้ปัญหาให้เราไม่ได้ ตรงนี้คือสิ่งที่ผมจะต้องมาเอง มาเป็นตัวแทนช่วยแก้ปัญหาให้พวกเรา และช่วยพรรค”

โดยในการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ และการปราศรัยใหญ่ก่อนวันตัดสินอนาคตประเทศ 24 มีนาคม “ลุงเก๊ง” กล่าวว่า เป็นความตั้งใจอย่างแรงกล้าส่วนตัว ไม่มีพรรคการเมืองไหนเข้ามาชักชวน แต่เป็นเพราะพรรคสามเหลี่ยมสีส้มนี้ที่มองเห็นความเท่าเทียม โอกาสในหลายๆ ด้านที่เปิดให้คนที่ไม่เคยเป็น ส.ส. คนที่ไม่มีฐานเสียง มีความมุ่งมั่นได้เข้ามาทำงาน

ซึ่งหากเป็นพรรคอื่นมาชวน “ลุงเก๊ง” บอกเลยว่า ก็คงขอนอนอยู่บ้านดีกว่า แต่เพราะเป็นพรรคอนาคตใหม่จึงยอมยกป้ายผ่านให้

และก็ขอย้ำด้วยว่า สิ่งที่ตนทำนั้น ไม่อยากให้พูดว่านี่คือการเล่นการเมือง แต่เป็นการทำการบ้าน

การบ้านที่ควรเริ่มก่อนการเมือง เพราะที่ผ่านมาเราหลงลืมการบ้านในทุกๆ หมู่บ้านของไทยไป มัวแต่ไปทำการเมือง ทำให้ชาวบ้านโดยเฉพาะบ้านป่า บ้านดอย ถูกละเลย และบางครั้งก็ถูกกฎหมายของบ้านเมืองเล่นงาน

โดยปัญหาคนกับป่า เป็นสิ่งแรกที่ว่าที่ ส.ส.ม้งคนนี้จะทำ เพราะบางพื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์จะอยู่ก่อนกฎหมาย แต่มาวันหนึ่งกฎหมายมาบอกว่าเป็นผู้ผิดกฎหมาย หรือปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งคนเมืองมองว่าชาวเขาเป็นคนทำลายป่า เพียงแค่ตัดต้นไม้ก็โดนกฎหมายเล่นงาน ทั้งๆ ที่ชาวปกากะญอ คือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ดูแลต้นไม้ได้ดีมาก ขณะเดียวกันความเจริญในพื้นที่ สาธารณูปโภคต่างๆ กลุ่มชาติพันธุ์กลับไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร เนื่องจากแหล่งอาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้อยู่ในเขตป่า ทำให้งบประมาณส่วนกลางที่ควรจะได้ถูกตีกลับหมด

“ชีวิตของคนอยู่ในป่าในดอย เหมือนถังขยะ ปัญหาทุกอย่างก็โยนมาให้ถังขยะหมด ปัญหายาเสพติดก็เรา ปัญหาตัดไม้ทำลายป่าก็เรา ทั้งที่แท้จริงเราคือปลายเหตุ ต้องไปแก้ที่ต้นเหตุไม่ใช่เรา เราพยายามสื่อให้คนเมือง คนพื้นราบได้เข้าใจคนดอย ผมอยู่ทางเหนือ ผมอยากไปทานอาหารกับพี่น้องมุสลิมทางใต้ นั่งกินข้าวด้วยกันอย่างพี่อย่างน้อง ผมอยากไปนั่งกินส้มตำปลาร้าอย่างพี่อย่างน้องที่ภาคอีสาน”

“ผมอยากให้บ้านเมืองของเราข้ามความขัดแย้งและอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง ร่วมกันสร้างสรรค์ประเทศนี้”

“ลุงเก๊ง” ยังย้ำแนวทางของพรรคและของตัวเองต่อจากนี้ด้วยว่า จะต้องไม่ลืมผู้ที่เลือกเรามาและไม่ลืมเจตนาก่อนที่จะมาเป็น ส.ส. เพราะทุกคนไม่เคยเป็น ส.ส. ไม่มีใครจ้างวานมาหรือเสียเงินสักบาทเพื่อซื้อตัวมา เชื่อว่าทุกคนจะมุ่งมั่นตั้งใจทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน

ตาม “ปฏิญญาศรีราชา” สัญญาใจ 5 ข้อ ที่ทำไว้กับพรรคอนาคตใหม่ ที่อยากจะสื่อให้ประชาชนที่เลือก 6.2 ล้านคนได้มั่นใจว่า เราเห็นคุณค่าของท่านและทุกเสียงที่มอบให้กับเรา เราจะทำให้เป็นรูปธรรมให้เห็นว่า เราไม่ใช่งูเห่า ในนาของเราไม่มีงูเห่า และเราจะตั้งใจทำงานแก้ปัญหาเพื่อทุกเสียงที่เลือกเรา

ถึงวันนี้ ฝันที่จะมีตัวแทนชาวม้งในสภาไม่ไกลเกินเอื้อมมือแล้ว ตัวแทนม้งเพียง 1 เดียวในวันนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของความฝันอันยิ่งใหญ่ ตัวแทนชาติพันธุ์ที่จะไปต่อในระดับประเทศ โชว์ศักยภาพให้เหล่าคนเมืองได้เห็น ทำให้ปัญหาของชาวชาติพันธุ์กับคนเมืองสลายหายไป และทำให้มีผู้แทนเข้าไปแก้ไขอย่างตรงจุดและตรงใจกลุ่มชาติพันธุ์อย่างแท้จริง