รายงานพิเศษ/’บิ๊กแดง’ เตรียมพร้อม ระดับ 1 รับศึกเลือกตั้ง ‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ ผ่าทางตัน จับตา ‘นายกฯ ตาอยู่’ กับโผทหารฉบับเงียบ

รายงานพิเศษ

‘บิ๊กแดง’ เตรียมพร้อม ระดับ 1

รับศึกเลือกตั้ง

‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ ผ่าทางตัน

จับตา ‘นายกฯ ตาอยู่’

กับโผทหารฉบับเงียบ

 

ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนแรงของโค้งสุดท้ายเลือกตั้ง ส่งผลให้บัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพล หรือโผทหารกลางปี เป็นไปด้วยความเงียบ

บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ส่งให้บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

ด้วยเพราะโผนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งสำคัญมากนัก เพราะนายทหารที่จะลาออกไปเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ยังไม่จำเป็นต้องลาออกในตอนนี้ แต่รอให้ผ่านการคัดเลือก และมีโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งออกมาก่อน จึงจะลาออก

โดยที่กองทัพก็จะปล่อยตำแหน่งให้ว่างไว้ รอการแต่งตั้งโยกย้ายปลายปี ในเดือนสิงหาคม-กันยายนเลย เพราะหากลาออกตั้งแต่ตอนนี้ อาจถูกครหาได้ว่า มีการรู้กันภายในของ คสช.ว่า ใครจะได้บ้าง

แต่นายทหารที่ไม่ใช่ตำแหน่งหลักที่ลาออกไปก่อนแล้ว มีเพียงบิ๊กอั๋น พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชญา และบิ๊กสน พล.อ.สนธยา ศรีเจริญ ที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ที่เคยมีส่วนช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้พลังดูดของพรรคพลังประชารัฐ ที่จะไปเป็น ส.ว.

และถูกคาดหมายว่าจะเป็นแกนนำสำคัญใน ส.ว. ในการส่งสัญญาณต่างๆ ให้กับทั้ง 250 ส.ว.ในอนาคต

 

ขณะที่ พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่จะเกษียณกันยายน 2562 นี้ และจะได้รับการเสนอชื่อเป็น ส.ว. นั้นก็ยืนยันว่า ยังไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากผู้ใหญ่ เพราะจะต้องเตรียมการรองรับการลาออก และการมองหาเลขาฯ สมช.คนใหม่ ที่จะต้องมาจากกองทัพ

แต่ในเมื่อยังไม่มีการลาออกในเวลานี้ แต่ให้รอจนกว่าจะมีการประกาศแต่งตั้ง ส.ว. จึงทำให้โผโยกย้ายทหารคราวนี้ยังไม่มีการขยับ 5 เสือ ทบ. ทั้งบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ก็ยังคงเป็นรอง ผบ.ทบ. ช่วยงาน พล.อ.อภิรัชต์ต่อ

หรือบิ๊กตู่ พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผช.ผบ.ทบ. ที่ยืนยันว่าจะไม่ลาออกไปเป็น ส.ว. และไม่โยกย้ายไปไหน หลังมีข่าวว่าจะขยับไปเป็นรองปลัดกลาโหม “ไม่ไปไหน ยังอยู่ แต่เมื่อถึงเวลา ในอนาคตก็ไปเอง”

แต่ก็ถูกจับตามองว่า ในโผปลายปี เมื่อมีตำแหน่งว่าง เช่น บิ๊กอ้อม พล.อ.วีระชัย อินทุโศภน รอง ผบ.ทหารสูงสุด น้องรักของ พล.อ.ประวิตรที่จะลาออกไปเป็น ส.ว. แล้ว พล.อ.ณัฐพลจะถูกย้ายข้ามไปเป็นรอง ผบ.ทหารสูงสุด เพื่อรอจ่อเป็น ผบ.ทหารสูงสุด คนต่อไป แทนบิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ที่จะเกษียณกันยายน 2563 หรือไม่ เพื่อเปิดทางให้ 5 เสือ ทบ. มีช่องให้ขยับขยาย

นอกเหนือจากที่บิ๊กตี๋ พล.อ.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ ผช.ผบ.ทบ. จะเกษียณกันยายน 2563 หรืออาจได้รับการเสนอชื่อเป็น ส.ว.ก่อนก็เป็นได้

เพราะเมื่อนั้น จะต้องดันบิ๊กบี้ พล.ท.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ แม่ทัพภาคที่ 1 สายวงศ์เทวัญ ที่ถูกวางตัวกันไว้แล้ว ให้ขึ้นมาเป็น ผช.ผบ.ทบ. เพื่อเตรียมจ่อเป็น ผบ.ทบ.ต่อจากบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่จะเกษียณกันยายน 2563 อีกด้วย

แถมมี 2 แกนนำเตรียมทหาร 21 ทั้งบิ๊กแก้ว พล.ท.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ รอง เสธ.ทบ. และบิ๊กนัย พล.ท.สุนัย ประภูชะเนย์ ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ที่ล้วนใกล้ชิดกับ พล.อ.อภิรัชต์ ก็จ่อคิวที่จะขึ้น 5 เสือ ทบ.

พล.ท.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้

 

แต่ที่ทุกคนใน ทบ.รอจ้องจับตามองก็คือ หาก พล.ท.ณรงค์พันธ์ และ พล.ท.เฉลิมพล ได้ขึ้น 5 เสือ ทบ.พร้อมกัน ในโผปลายปี ก็เท่ากับมีสิทธิ์ชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ.ด้วยกันทั้งคู่ แม้ว่า พล.ท.ณรงค์พันธ์จะได้เปรียบมากกว่าก็ตาม

แต่ พล.ท.เฉลิมพลก็เป็นนายทหารม้าที่ได้รับการยอมรับในรุ่น และใกล้ชิดประหนึ่งทำหน้าที่ เสธ.คู่ใจ พล.อ.อภิรัชต์ มาตลอด และเป็นเตรียมทหาร 21 รุ่นพี่ พล.ท.ณรงค์พันธ์ ที่เป็น ตท.22 อีกด้วย  แถมเกษียณกันยายน 2566 เหมือนกัน และเป็น “ทหารคอแดง” เป็นรอง ผบ.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ฉก.ทม.รอ.904) เช่นกันอีกด้วย

โดยจะเป็นโผโยกย้ายทหารโผแรกของรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ที่ไม่รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะได้คัมแบ๊กกลับมาอีกหรือไม่

แต่ที่แน่ๆ รมว.กลาโหมในเวลานั้น อาจจะไม่ใช่ พล.อ.ประวิตรอีกต่อไป แม้ว่านายกฯ จะชื่อ พล.อ.ประยุทธ์อีกครั้งก็ตาม

 

หลังจากที่มีกระแสข่าวในกลาโหมสะพัดว่า พล.อ.ประวิตรจะไม่ร่วม ครม.ของ พล.อ.ประยุทธ์หลังการเลือกตั้ง แต่จะช่วยเดินเกมการเมืองอยู่เบื้องหลัง ทั้งการคุมเสียง 250 ส.ว.ที่ พล.อ.ประวิตรตั้งมาเอง และคุมนักการเมืองก๊วนต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐ ที่ พล.อ.ประวิตรมีส่วนช่วยในพลังดูด

จนทำให้บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ถูกจับตามองว่าจะได้เป็น รมว.กลาโหม ดูแลกองทัพแทน พล.อ.ประวิตร โดยที่ก็ยังมี พล.อ.ประวิตร เป็นเสมือน รมว.กลาโหมเงาอยู่นั่นเอง

โดยเฉพาะเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์แย้มไต๋แล้วว่า การจัด ครม.หลังการเลือกตั้งนั้น ทีมที่จะมาทำงาน จะเอาทีมเดิมทั้งหมดได้ที่ไหน ต้องคัดสรรมาใหม่ ต้องมาจากการเมือง แต่ผมก็ต้องเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการขับเคลื่อนของผม

ที่สำคัญคือ จะต้องให้ได้เป็นรัฐบาลที่มั่นคง ไม่ใช่อยู่ได้แค่ 1-2 ปีแล้วต้องไปเริ่มใหม่อีก

 

แม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อ ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจก็ตาม แต่ก็พร้อมที่จะร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ

แต่นั่นย่อมหมายถึง นายอภิสิทธิ์จะต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

จนทำให้ทหารในกองทัพเริ่มมองตัวกันแล้วว่า ถ้านายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ใครจะเป็น รมว.กลาโหม ที่คาดกันว่า พรรคประชาธิปัตย์อาจจะต้องเชิญอดีตบิ๊กทหารมาเป็น รมว.กลาโหมให้

แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อทุกอย่างถูกวางให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งไว้แล้ว จะแก้ปัญหานายอภิสิทธิ์อย่างไร หากว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้จำนวน ส.ส.มากกว่า 100 ที่นั่งในสภา เพราะเงื่อนไขที่นายอภิสิทธิ์จะลาออกคือ พรรคประชาธิปัตย์ต้องได้จำนวน ส.ส.ต่ำกว่า 100 เท่านั้น

แต่หากพรรคพลังประชารัฐได้จำนวน ส.ส.มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ การกลับมานั่งเก้าอี้นายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ย่อมเป็นไปตามแผน

แต่หากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ยังเทไปให้กับพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อชาติ พรรคอนาคตใหม่ จนได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็เชื่อได้ว่า ฝั่งที่สนับสนุน คสช.ย่อมไม่ยอม และต้องนำมาซึ่งความวุ่นวาย

พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา

 

สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะความวุ่นวาย หรือการสร้างสถานการณ์ หลังการเลือกตั้ง จนอาจนำไปสู่การมีรัฐบาลพิเศษ และนายกฯ พิเศษ

ด้วยเพราะชื่อของ พลเอก อดีตบิ๊กทหารคนสำคัญ 2 คน ทั้ง พลเอก พ. และพลเอก ฉ. ที่เกษียณแล้ว และเวลานี้ดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ ยังคงมาแรงในฐานะแคนดิเดตนายกฯ พิเศษ ในสถานการณ์พิเศษ

เพราะต้องไม่ลืมว่า ผบ.เหล่าทัพยังคงดำรงสถานภาพการเป็นสมาชิก คสช. ที่ก็ย่อมต้องสนับสนุนรัฐบาล คสช.ของ พล.อ.ประยุทธ์ต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่

โดยเฉพาะ พล.อ.อภิรัชต์ ผบ.ทบ.นั้น เป็นเลขาธิการ คสช. และ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยของ คสช. ที่มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยแบบเต็มๆ

แต่ในเมื่อในยุคนี้ ทหารไม่สามารถนำกำลังทหารที่เคยเป็นขุมกำลังปฏิวัติมาก่อการยึดอำนาจได้ง่ายๆ อีกแล้ว เพราะล้วนเป็นหน่วยใน ฉก.ทม.รอ.904 หมดแล้ว

แต่ความเป็นไปได้คือ อาจมีการใช้กำลังทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ ประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยไม่ต้องปฏิวัติรัฐประหาร เพื่อนำไปสู่การมีรัฐบาลพิเศษ หรืออาจเรียกว่ารัฐบาลพระราชทาน เพื่อมาแก้ปัญหาในระยะหนึ่งก่อน

เมื่อนั้น อาจนำมาซึ่งนายกฯ ในสถานการณ์พิเศษ หรือนายกฯ ตาอยู่

 

อย่าลืมว่า ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่มีความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.อภิรัชต์ กับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย จนทำให้ต้องมี ปฏิบัติการตบเท้าแสดงพลัง หนุน พล.อ.อภิรัชต์

และเป็นการปลุกให้ทหารทั้งกองทัพ ปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรีของทหาร ด้วยการนำบิ๊ก ทบ.และ ผบ.หน่วยขึ้น และ ผบ.ขุมกำลัง ระดับผู้บังคับการกรม และผู้บังคับกองพัน กว่า 800 นาย ที่ส่วนใหญ่ล้วนจบโรงเรียนเตรียมทหาร และนายร้อย จปร. ทำศึกสายเลือดเตรียมทหาร เพื่อส่งสัญญาณถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่เป็นรุ่นพี่เตรียมทหาร 8

พร้อมๆ กับการแสดงจุดยืนของกองทัพ ด้วยการปฏิญาณตนต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ใน บก.ทบ. เมื่อ 7 มีนาคม 2562 นั้น เป็นความตั้งใจของ พล.อ.อภิรัชต์ที่จะแสดงออกถึงการเป็นกองทัพที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

ทั้งการย้ำคำปฏิญาณตนสมัยเรียนโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายร้อย จปร.ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า จักรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ด้วยชีวิต” และการถวายบังคมด้วยแล้ว

พล.อ.อภิรัชต์ยังตั้งใจเขียนคำปฏิญาณตนมาด้วยตนเอง เพื่อนำ ผบ.หน่วยทั้งหมด ปฏิญาณตนด้วยตนเองว่า

“ข้าพเจ้าจะรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า เกียรติยศและศักดิ์ศรีของทหาร”

ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบโต้ การที่ดูหมิ่นเครื่องหมายที่ประดับหน้าอกของ พล.อ.อภิรัชต์ ว่า “ลิเก” ทั้งๆ ที่เป็นเครื่องหมายพระราชทาน

เพราะในฐานะที่เป็น “ทหารคอแดง” เป็นนายทหารพิเศษ ประจำ ทม.รอ. และเป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ. พล.อ.อภิรัชต์จึงมีเครื่องหมายบนหน้าอกและที่แขน มากกว่านายทหารคนอื่นๆ

ส่วนคำปฏิญาณที่ว่า “ข้าพเจ้าในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะสนับสนุนรัฐบาลที่ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความจงรักภักดี และมีธรรมาภิบาล” นั้น

ถูกมองว่า เป็นการแสดงออกถึงจุดยืนทางการเมืองที่ถูกตีความว่า หมายถึง พล.อ.ประยุทธ์นั่นเอง

กล่าวกันว่า พล.อ.อภิรัชต์ต้องการอาศัยสถานการณ์ครั้งนี้ในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของทหารทั้งกองทัพบก ทำศึกศักดิ์ศรี

“เรามาจากเบ้าหลอมเดียวกัน ถ้าเราไม่รัก ไม่สามัคคีกัน ประเทศชาติก็อยู่ไม่ได้” พล.อ.อภิรัชต์ระบุ

 

ท่ามกลางกระแสข่าวว่า แม้นายทหารในกองทัพจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่จากการสำรวจความคิดเห็นอย่างไม่เป็นทางการ แบบที่เรียกว่า โพลทหาร นั้นยังพบว่า ไม่ใช่ทหารทั้งหมดที่จะเลือก พล.อ.ประยุทธ์และพรรคพลังประชารัฐ

โดยเฉพาะพลทหาร หรือทหารเกณฑ์ ที่มักจะเลือกตามคำแนะนำของพ่อแม่ ครอบครัว เพราะผู้บังคับบัญชาไม่สามารถสั่งให้เลือกพรรคไหน เบอร์อะไรได้เหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว

แต่ ผบ.หน่วยก็สามารถให้เหตุผลโน้มน้าวให้พลทหารคิดได้ รวมถึงการฉายคลิปเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ ในอดีต เพื่อให้ทหารคิดเองว่า ถ้าไม่อยากให้บ้านเมืองวุ่นวาย หรือทหารจะต้องเหนื่อย ออกไปนอกถนนอีก ควรจะเลือกใคร

การนำตบเท้าแสดงพลังของ พล.อ.อภิรัชต์ จึงเป็นการนำกองทัพบกทั้งกองทัพ ให้ต้องทำตามคำปฏิญาณตน ที่ได้ลั่นวาจาไปแล้วนั้นด้วย

แต่สถานการณ์เบื้องหน้า โดยเฉพาะเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ จะชี้ชะตาประเทศไปในทางใด ไม่มีใครรู้ นอกเสียจากการเตรียม แผน 1 แผน 2 และแผน 3 ไว้เตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์

แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์เตรียมการรัฐประหารมาก่อนล่วงหน้า มากกว่า 6 เดือน และเป็นนายกฯ ควบหัวหน้า คสช. ที่มีมาตรา 44 ในมือ มาอีกเกือบ 5 ปี ลงทุนลงแรงไปมากมาย ก็ยิ่งต้องเตรียมแผนรับมือไว้หลายทาง เช่นเดียวกับฝ่ายต่อต้าน คสช.

รวมทั้งฝ่ายทหาร ภายใต้การนำของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่แม้ตอนนี้อาจดูว่ากำลังต่อสู้คนเดียว โดยที่ ผบ.เหล่าทัพอื่นไม่ได้มาร่วมแสดงออกใดๆ ด้วยก็ตาม

แต่เชื่อกันว่า เมื่อถึงสถานการณ์จำเป็น ผู้นำเหล่าทัพชุดนี้ล้วนเป็นหนึ่งเดียว

เรียกได้ว่า เตรียมพร้อมระดับ 1 รอเลยทีเดียว…