หนุ่มเมืองจันท์ : พรจากฟ้า

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ผมเพิ่งรู้ว่า “มหัศจรรย์” ของการดูหนังในโรงหนังเป็นอย่างไร

จากการดูหนังเรื่อง “พรจากฟ้า” ครับ

ผมดูหนังเรื่องนี้ 2 รอบ

รอบแรก “พี่เก้ง” ชวนไปดูที่บริษัทจีดีเอช ก่อนฉายประมาณ 2 สัปดาห์

ถือเป็น “กลุ่มตัวอย่าง” กลุ่มแรกๆ

ห้องที่ดูหนังคล้ายๆ กับโรงหนังส่วนตัวขนาดใหญ่ในบ้าน

มีที่นั่งแบบโรงหนังประมาณ 10-20 ตัว

ผมเคยดูที่ห้องนี้มาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่ “พี่เก้ง” ทำหนัง “วัยรุ่นพันล้าน”

แต่ครั้งนั้น “ดิบกว่า” เพราะยังไม่ได้ใส่เทคนิคซีจี

ส่วน “พรจากฟ้า” เป็นหนังที่สมบูรณ์แล้ว

ผมดู “พรจากฟ้า” รอบแรกที่ “จีดีเอช”

ดูรอบที่สองในโรงหนัง

เราเหมาโรงใหญ่ 700 ที่นั่งให้นักเรียน ABC มาดูด้วยกัน

หนัง “พรจากฟ้า” จะมี 3 เรื่องเชื่อมต่อกัน

เรื่องแรก “ยามเย็น” เป็นเรื่องรักวัยรุ่นที่เล่นกับรายละเอียดมุขจีบสาวแบบ Gen Y

เป็นเรื่องความรักของหนุ่มสาวที่เพิ่งรู้จักกันแค่ 1 วัน

จุดตัดของกาลเวลา คือ “ยามเย็น”

“แดดรอนรอนเมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล

ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ

ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา”

น่ารักครับ สาวๆ จิกหมอนกันทุกคน

“วี-วิโอเล็ต” ร้องเพลง “ยามเย็น” เพราะมาก

ส่วน “นาย-ณภัทร” แจ้งเกิดแน่นอน

เรื่องที่สอง คือ “Still on my mind”

“มิว” นางเอกจาก “แฟนเดย์ฯ” รับบทน้องสาวคนเล็กที่ต้องออกจากงานมาดูคุณพ่อที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์

และค้นพบว่าเมื่อคุณพ่อฟังเพลง “Still on my mind” แล้วจะมีอาการดีขึ้น

เธอจึงหัดเล่นเพลงนี้

จาก “จิกหมอน” ในเรื่องแรก

มาเป็น “น้ำตาคลอ” จากเรื่องนี้

บรรยากาศในโรงจะเงียบสนิท มีเสียงสะอื้นเป็นพักๆ

มาถึงเรื่องที่สาม “พรจากฟ้า”

บรรยากาศเปลี่ยนเลยครับ ปรับอารมณ์แทบไม่ทัน

“พรจากฟ้า” เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ความฝัน” ของพนักงานในบริษัทที่อยากมีห้องซ้อมดนตรี

ฮากระทืบโรงเลยครับ

เสียงหัวเราะดังมาก

ตอนที่ดูในโรง เนื่องจากดูเป็นรอบที่สองแล้ว ผมจึงเปลี่ยนวิธีการดูหนัง

นอกจากดูเจาะรายละเอียดที่เราพลาดไปจากรอบแรก

ผมยังทำตัวเหมือนผู้กำกับหนังเรื่องนี้

คือ ดู “คนดู” ด้วย

ดูว่าเงียบตรงไหน สะอื้นตรงไหน

และหัวเราะตรงไหน

“พรจากฟ้า” ฮาเกือบทุก 2 นาทีครับ

“พี่เก้ง” สาดมุขกระจุยกระจาย

“ความมหัศจรรย์” ของการดูหนังในโรงนั้นอยู่ตรงนี้ครับ

ตอนที่ดูในห้องฉายขนาดใหญ่ใน “จีดีเอช”

ผมเฉยๆ กับเรื่องที่สาม “พรจากฟ้า”

ไม่ค่อยขำ

ตอนที่ดูเสร็จยังบอก “พี่เก้ง” กับ “วรรณ” เลย

จำได้ว่า “วรรณ” บอกว่าถ้าดูในโรงจริงๆ ระบบเสียงจะทำให้สนุกกว่านี้

ผมก็ยังงงๆ

แต่พอไปดูในโรงจริงๆ

เป็นไปอย่างที่ “วรรณ” พูดจริงๆ

น่าแปลกตรงที่หนังตลก ดูซ้ำไม่น่าจะขำ เพราะรู้มุขแล้ว

แต่ “พรจากฟ้า” ดูซ้ำในโรงกลับขำกว่า

ไม่ใช่ผมคนเดียว แต่น้องหลายคนที่ไปดูด้วยกันที่ “จีดีเอช” ก็บอกแบบเดียวกัน

“มหัศจรรย์” จริงๆ

คงคล้ายๆ กับเพลงสรรเสริญพระบารมีเวอร์ชั่นของ “ท่านมุ้ย”

ตอนที่ดูคลิปที่เผยแพร่ในเฟซบุ๊ก

เฉยมากเลยครับ

แต่พอดูในโรงหนังที่เป็นจอขนาดใหญ่

โอ้โฮ ยิ่งใหญ่อลังการมาก

นี่คือ “มหัศจรรย์” ของโรงหนัง

ที่จอทีวีหรือจอคอมพิวเตอร์สู้ไม่ได้

และ “มหัศจรรย์” ที่ 2 ก็คือ คนที่ไปดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรก

ส่วนใหญ่จะคิดว่า “พรจากฟ้า” เป็นหนังแบบละครเทิดพระเกียรติในโทรทัศน์

เพราะบอกว่าทำจากเพลงพระราชนิพนธ์ 3 เพลง

คงประทับใจ แต่ไม่สนุกแน่

แต่ใครจะไปนึกว่า “พรจากฟ้า” ใช้แค่แรงบันดาลใจจากเพลงพระราชนิพนธ์

ส่วนเรื่องราวในหนังก็คือ หนัง “จีดีเอช”

รัก โรแมนติก ดราม่า และฮา

เดินออกจากโรงด้วยความสุข

ABC TALENT ที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ทุกคนชอบหนังเรื่องนี้มาก

“จีดีเอช” ก็ยังเป็น “จีดีเอช”

แต่ “มหัศจรรย์” ที่ 3 นี่สิครับที่น่าห่วง

คนดูหนัง “พรจากฟ้า” ใน 3-4 วันแรกน้อยกว่าที่คาดไว้

ก่อนที่กระแสบอกต่อจะเริ่มทำงาน

เหตุผลเป็นเพราะ “จีดีเอช” ทำการตลาดแบบกลับหัว

เรื่องแรก เขาบอกตรงๆ เลยว่าหนังเรื่องนี้ตั้งใจสร้างจากเพลงพระราชนิพนธ์

ตั้งชื่อก็ตรงไปตรงมา

รู้ทั้งรู้ว่าคนอาจตีความได้ว่ามวลอารมณ์ของหนังเรื่องนี้ก็คงคล้ายๆ กับละครเทิดพระเกียรติ

ทั้งที่จริง ไม่ใช่เลย

“พรจากฟ้า” เป็นหนังสไตล์ “จีดีเอช” ธรรมดา

ไม่มีตอนไหนกล่าวถึง “ในหลวงรัชกาลที่ 9” เลย

แต่แปลกที่เราดูจบแล้วเรากลับนึกถึงพระองค์ท่านเอง

กลวิธีการนำเสนอของ “จีดีเอช” เหนือชั้นมาก

ไม่เอ่ยถึง แต่เรารู้สึก

เรื่องที่สอง “จีดีเอช” ไปเจรจากับโรงหนัง ขอลดราคาค่าตั๋วเหลือแค่ 99 บาท

เพื่อให้คนมาดูเยอะๆ

และรายได้หักค่าใช้จ่ายจะมอบให้มูลนิธิชัยพัฒนา

การลดราคาตั๋วหนัง 20-30% ทำให้ยอดรายได้รวมต่ำลง

พลังในการโฆษณาแบบบอกรายได้ เช่น “ทะยานสู่ 100 ล้านแล้ว” ลดน้อยลง

เช่นเดียวกับแรงจูงใจของโรงในการเปิดรอบให้ก็ต่ำลงด้วย

เพราะคนดู 1 คนเท่ากัน หนังเรื่องอื่นเขาได้มากกว่า

เรื่องที่สาม “จีดีเอช” ประกาศเลยว่าจะฉายหนังเรื่องนี้ทางโทรทัศน์ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม

เป็น “ของขวัญปีใหม่” ให้กับคนไทยทุกคน

เขาอยากให้คนไทยมีความสุขในวันปีใหม่จากเพลงที่ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” พระราชทานให้กับคนไทย

“จีดีเอช” ทำการตลาดหนัง “พรจากฟ้า” แบบเทใจให้ “คนดู” หมดเลย

รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีผลบวกในทางธุรกิจ

แต่ก็ยังทำ

อย่างเรื่องการฉายทางโทรทัศน์ เขาก็สามารถกั๊กไว้ไม่บอกก่อนก็ได้

หลอกให้คนไปดูในโรงแล้วค่อยบอก

แต่ “พี่เก้ง” ก็บอกก่อนเลย

กลัวคนที่ดูในโรงแล้วจะว่าได้ถ้ามารู้ตอนหลัง

เขาจึงบอกล่วงหน้าแบบ “วัดใจ” กันไปเลย

หลังจากความมหัศจรรย์ที่ 3 ดำเนินมาได้ 3-4 วัน

ตอนนี้สถานการณ์เริ่มพลิกกลับแล้วครับ

คล้ายๆ หนัง “โหมโรง”

คือ กระแสความเสียดายและบอกต่อแรงขึ้นเรื่อยๆ

ทุกคนเสียดายที่หนังดีๆ เรื่องนี้มีคนดูน้อยเกินไป

และบางทีอาจจะเกิด “ความมหัศจรรย์” เรื่องที่ 4 ขึ้นมาก็ได้

“พรจากฟ้า” อาจมีจริง