ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์ /BEN IS BACK

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

BEN IS BACK

‘ลูกติดยา’

 

กำกับการแสดง Peter Hedges

นำแสดง Julia Roberts  Lucas Hedges  Courtney B. Vance  Kathryn Newton

 

นี่เป็นดราม่าของครอบครัวที่ต้องเผชิญกับปัญหาหนักหน่วงถ่วงอารมณ์ของการมีลูกติดยาเสพติด

ฮอลลี่ เบิร์นส์ (จูเลีย โรเบิร์ตส์) เป็นแม่ที่พาลูกสามคนไปร่วมงานฉลองคริสต์มาสในโบสถ์ ซึ่งเด็กๆ มีส่วนร่วมร้องเพลงและแสดง เมื่อลูกคนหนึ่งบ่นที่ต้องสวมชุดที่น่าอึดอัดสำหรับการแสดง เธอบอกให้ลูกตัวเล็กทนสักหน่อย ให้นึกว่านี่เป็นหนเดียวในรอบปีที่เธอพาลูกๆ เข้าโบสถ์

เพียงเท่านี้เราก็รู้ว่าครอบครัวนี้ไม่ได้เคร่งศาสนา แต่คริสต์มาสเป็นเพียงเทศกาลฉลองสำหรับครอบครัว

และด้วยบรรยากาศและสปิริตของการรวมตัวและให้ของขวัญแก่กันและกัน ฮอลลี่ขับรถกลับบ้านพร้อมลูกสามคน เพื่อจะเจอวัยรุ่นชายในชุดคลุมศีรษะดำทะมึนยืนรออยู่หน้าบ้าน

ปฏิกิริยาของคนทั้งสี่ในรถแตกต่างกันไป ขณะที่เด็กเล็กสองคนเริงร่าดีใจที่เห็นพี่ชายคนโต ไอวี่ (แคธริน นิวตัน) สาวน้อยวัยรุ่น ตะลึงพรึงเพริดและห้ามปรามแม่ที่เปิดประตูลงไปต้อนรับ ผู้เป็นแม่เกิดความรู้สึกและอารมณ์หลากหลายประดังประเดพรั่งพรูเข้ามาในชั่วขณะเดียวกันอย่างยากจะบรรยาย

ทั้งตกใจ หวาดหวั่น กริ่งเกรง และดีใจ

และความยินดีที่ได้เจอหน้าลูกอย่างไม่คาดคิดในเทศกาลฉลองของครอบครัวนี้วิ่งล้ำหน้ากลบความรู้สึกอื่นใดหมดสิ้น เธอลงจากรถไปกอดต้อนรับลูกชายกลับบ้าน

ในชั่วอึดใจเดียว ความรู้สึกทั้งหลายทั้งมวลนี้ประมวลเข้าเป็นที่มาของชื่อหนังว่า “เบนกลับมาแล้ว”

โอกาสแรกที่เข้าไปในบ้าน ฮอลลี่หลบหน้าลูกๆ เข้าห้องน้ำห้องนอนไปเก็บกวาดยาต่างๆ ในตู้ยา และข้าวของมีค่าและเครื่องประดับให้พ้นหูพ้นตาและไกลมือเกินหยิบฉวย

ท่ามกลางสายตาแสดงความไม่ชอบใจและไม่เห็นด้วยของลูกสาวคนโต ฮอลลี่ต้อนรับเบนกลับบ้านอย่างออกนอกหน้า หัวเราะเสียงดังให้กับเรื่องเล่าขันๆ ของเขา แบบที่ไอวี่ต้องติงว่าไม่เห็นจะตลกขนาดนั้นเลย

และจากการกลับมาของสามีผิวดำ ผู้แสดงความกังวลและกริ่งเกรงกับการกลับมาอย่างไม่คาดฝันของเบน เราได้รู้โดยไม่ต้องบอกว่าเบนกับไอวี่เป็นลูกจากสามีคนแรกของฮอลลี่ ขณะที่เด็กชายหญิงอีกสองคนเป็นลูกของฮอลลี่กับนีล (คอร์ตนีย์ บี.แวนซ์)

 

การกลับมาของเบนเป็นเสมือนเรื่องเลวร้ายของอดีตกาลที่กลับมาหลอกหลอนครอบครัวนี้อีกครั้ง

เราได้รู้ว่าเบนเข้ารับการบำบัดและถูกกักตัวไว้สถานพยาบาล และไม่ได้แตะต้องยาเสพติดมาแล้วเป็นเวลา 77 วันต่อเนื่องกัน แต่เวลาสองเดือนครึ่งยังไม่ใช่ระยะเวลาที่ปลอดภัยที่จะได้รับการปล่อยตัวมาอยู่ในบรรยากาศเก่าๆ ที่มีความทรงจำของอดีต ไม่ว่าสิ่งเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม อาจกระตุ้นให้กลับไปเสพยาได้อีก

เบนอ้างว่า “สปอนเซอร์” ของเขารับรู้และยินยอมให้เขากลับมาเยี่ยมบ้านหนึ่งวันเพื่ออยู่กับครอบครัวในวันคริสต์มาส

สปอนเซอร์ของผู้ได้รับการบำบัดเลิกสารเสพติด คือคนที่คอยให้การสนับสนุน ให้คำปรึกษาและให้กำลังใจในช่วงพยายามเลิกยาและหลังจากนั้น

ทั้งๆ ที่สามีและลูกสาวคนโตไม่เห็นด้วย แต่ฮอลลี่ก็ใจอ่อนกับลูกชายและอนุญาตให้เขาอยู่ด้วย ภายใต้เงื่อนไขว่าเขาต้องยอมให้ตรวจปัสสาวะและอยู่ในสายตาของแม่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

เรื่องราวของหนังอยู่ในช่วงยี่สิบสี่ชั่วโมงอันตรายนี้

 

เมื่อเบนต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลาง “กับระเบิด” ที่รายล้อมอยู่รอบตัวขณะเมื่อกลับมาอยู่ในบ้านและเมืองที่เคยเป็นแหล่งเสพยา

ไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาจะเดินไปเหยียบระเบิดที่จะกระตุ้นให้เขากลับไปเสพยาได้อีก

ไม่เหมือนเวลาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ที่ปราศจากความทรงจำเก่าๆ ของอดีตที่เคยเสพและทำทุกอย่างเพื่อหายามาเสพ

คนดูก็เหมือนเดินอยู่ท่ามกลางกับระเบิดเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่าเบนจริงใจและตั้งใจจริงแค่ไหนกับการกลับบ้านของเขาครั้งนี้

ลูคัส เฮดเจส ซึ่งเป็นนักแสดงหนุ่มดาวรุ่งอนาคตไกล และเป็นลูกชายของผู้กำกับหนัง ปีเตอร์ เฮดเจสด้วย แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมมาก เขากลัวใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าอาจจะไม่เข้มแข็งพอจะขัดขืนต่อแรงรุมเร้าและยั่วยวนใจต่างๆ ที่จะพาชีวิตให้ดิ่งกลับลงสู่ห้วงเหวของความเป็นทาสยาเสพติดอีกครั้ง

และแก่นเรื่องของ “ความจริงใจ” หรือ honesty (ซึ่งพื้นฐานสำคัญของความสุจริตใจคือการไม่โกหกกันและกัน) เป็นเนื้อหาใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวและตัวละคร โดยที่แม้แต่ฮอลลี่ก็ “ไม่พูดความจริง” ต่อครอบครัวอยู่บ่อยๆ แม้ในยามคับขันและในเรื่องสำคัญที่จะก่อให้เกิดผลตามต่อมา แม้จะเป็นการโกหกด้วยความตั้งใจดีและไม่มุ่งร้าย แต่ก็ยังเป็นการโกหกอยู่ดี

เบนเจอเข้ากับ “ผีของอดีตกาล” แทบจะในทุกซอกทุกมุมของบ้าน โดยเฉพาะเมื่อปีนขึ้นไปห้องใต้หลังคาเพื่อค้นหาของประดับต้นคริสต์มาส เขาก็มีความทรงจำเก่าๆ ของสถานที่ที่ใช้ซุกซ่อนยาในอดีต

และเมื่อเบนยืนยันจะออกไปช้อปปิ้งเพื่อซื้อหาของขวัญสำหรับครอบครัว เราก็แทบเดาไม่ออกว่าเบน “จริงใจ” แค่ไหนกับการออกไปเตร็ดเตร่อยู่ที่ศูนย์การค้าครั้งนี้

ที่ศูนย์การค้า เกิดสถานการณ์เล็กๆ ที่ทำให้เราได้รู้ถึงที่มาของการที่เบนติดยา ตรงนี้ผู้เขียนคิดว่าคนเขียนบทฉลาดมากที่แทรกฉากนี้เข้ามา โดยใช้เวลานิดเดียว แต่ก็ทำให้เราได้ตระหนักถึงปัญหาระดับกว้างในวงการแพทย์ไปด้วย

ฮอลลี่ไปเจอเข้ากับคู่สามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีเป็นหมอที่สมองเสื่อมจนจำเธอไม่ได้แล้ว แต่ภรรยาจำได้ว่าฮอลลี่เป็นแม่ของคนไข้เก่า นี่คือหมอที่ให้การรักษาอาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาสมัยเมื่อเบนยังเด็ก และเป็นหมอที่จ่ายยาแก้ปวดเกินขนาดและต่อเนื่องจนคนไข้ติดยา

เรื่องนี้น่าจะเตือนให้เราระวังตัวไม่กินยาแก้ปวดต่อเนื่องจนติด เพราะนั่นคือสารเสพติดอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องเพิ่มขนาดการเสพขึ้นเรื่อยๆ

และการเปิดตัวให้คนในเมืองรับรู้ว่า “เบนกลับมาแล้ว” ทำให้แวดวงพ่อค้ายาที่เบนเคยข้องแวะด้วย กลับมาในชีวิตเขาอีกครั้ง

 

และเมื่อบ้านโดนงัดแงะ ข้าวของถูกทำลาย และหมาแสนรักของครอบครัวหายไป

เบนกับฮอลลี่ก็ออกตระเวนไปในท้องถนนและละแวกที่คุ้นเคย เพื่อติดตาม และพาตัวเข้าสู่วังวนของภยันตรายที่ทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ฮอลลี่เป็นแม่ที่พยายามปกป้องครอบครัวและลูกๆ ทุกวิถีทาง ไม่ว่าวิจารณญาณของเธอจะผิดหรือถูก

มีอยู่ฉากหนึ่งที่กินใจมาก เมื่อเบนพาตัวเข้าสู่อันตรายมากขึ้นทุกที ฮอลลี่โกรธจนขับรถพาเขาไปที่สุสาน และบอกให้เขาเลือกจุดที่อยากจะให้ฝังเขาเสียเลย

นั่นคือความกลัวที่ร้ายกาจที่สุดของคนเป็นแม่ที่จะต้องเผชิญกับความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียลูกและต้องจัดงานศพให้แก่ลูก

ลูกควรเป็นฝ่ายจัดงานศพให้พ่อแม่ ไม่ใช่ในทางกลับกัน…

นี่เป็นหนังที่พูดถึงความทุกข์ยากของครอบครัวที่มีสมาชิกตกเป็นทาสของยาเสพติด และใช้ชีวิตอยู่ในความหวั่นเกรงทุกขณะจิต เพราะเต็มไปด้วยกับดับและอันตรายกลาดเกลื่อนรายล้อมอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง

ฝีมือการแสดงตรึงตราทั้งของจูเลีย โรเบิร์ตส์ และลูคัส เฮดเจส รวมทั้งแคธริน นิวตัน

ดูแล้วอึ้งไปเลยค่ะ