การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ขณะต้นขาระริกอยู่

[คนเดินทาง

ฉันชอบบทกวีของเธอจริง เนื้อหาที่เธอเขียนไม่เหมือนของเพื่อนๆ คนไหนในกลุ่มเลย เธอเขียนจากชีวิตตัวเองหรือ? มีอะไรที่อยากเล่าให้ฉันฟังอีกมั้ย เธอเขียนมานะ ฉันอยากจะรับรู้เรื่องราวของเธอ

สำหรับชีวิตของฉัน จะขอบรรยายดังนี้ก็แล้วกัน

ฉันอยู่ที่จังหวัดลพบุรี เมืองที่มีลิงเยอะๆ กับวังเก่าๆ นะแหละ แต่ว่าบ้านของฉันอยู่ใกล้กับตลาด ฉันอยู่ในบ้านที่มีลุง ป้า และลูกๆ ของเขา ซึ่งก็เหมือนเป็นลูกของฉันด้วย (ชั่งเถอะ ฉันจะนับของฉันหยั่งนี้)

ฉันไม่ได้เป็นญาติของใครที่นี่หรอก แต่เพราะว่าแม่ของฉันเป็นเพื่อนของป้า แล้ววันหนึ่งป้าก็บอกว่าสามารถดูแลฉันได้ (ใช่! แม่ไม่สามารถดูแลฉันไง) ฉันจึงมาอยู่กับพวกเขาที่นี่ แต่พวกเขาก็ใจดีมาก ฉันชอบอ่านหนังสือก็ให้เงินซื้อหนังสือไม่ขาด ตอนนี้ยังเปิดแผงหนังสือที่หน้าร้านด้วย ฉันจึงมีนิตยสารมากมายให้อ่าน (มันเยี่ยมจริงๆ!)

คนเดินทาง เธอเคยคิดเหมือนฉันบ้างไหมว่า คนเราเกิดมาทำไม ฉันเคยนั่งมองลุงกับป้าวิ่งวนทำงานกันมากมาย พวกเขาคิดถึงแต่เรื่องเงิน สมบัติ อยากจะทำงานมากๆๆ ให้มีเงินมากๆๆ แล้วทุกคนก็เครียดใส่กันทุกวัน ฉันก็เบื่อจะได้ยินป้ากับลุงถกเถียงกัน บางทีต้องหนีเข้าห้อง เปิดเพลงดังๆ อุดหูตัวเองซะ

…เธอชอบฟังเพลงของใครบ้าง ตอนนี้ฉันมีเพลงที่ชอบก็อย่างเช่น…]

 

[เพียงบัว,

เราขอบคุณสำหรับหนังสือที่ส่งมาใหม่อีก เธอใจดีกับเราจังเลย ขอบคุณมากๆ ขอบคุณจริงๆ

เราอยากตอบคำถามของเธอก่อน ทำไมจะไม่คิดล่ะ เรื่องของชีวิตที่เกิดมา เราก็คิด ก็สงสัย บางทียังแทบจะอดคิดไม่ได้ ถ้าเราไม่ต้องหายใจเลย มันคงจะดีไม่น้อย

ว่าแต่ตอนนี้ เราเขียนจดหมายถึงเธอที่ไหนรู้มั้ย วันนี้เราเอาปากกากับสมุดมาด้วย ใครๆ เขาพักกินข้าวกัน เรามานั่งอยู่ใต้ร่มไม้ต้นหนึ่ง มันชื่อว่าต้นจ้อล่อ ถ้าถึงหน้าแล้งจะออกดอกสีม่วงสวยมากๆ กลีบบอบบาง ถึงจะร่วงลงมาก็ยังสวยอยู่ดี

วันนี้ เราก็คิดๆ เรื่องชีวิตอยู่ตั้งแต่เช้าเหมือนกัน เพราะคนที่เราเคยสนิทสนมด้วยช่วงหนี่ง ชื่อพี่โสม แม่ของเขาเพิ่งเสียชีวิตไป…เราก็เศร้านะ เมื่อเห็นสีหน้าของเขาตอนที่มีคนวิ่งมาบอกข่าว แต่เราก็เป็นคนที่ไม่เอาไหนหรอก ตอนที่…เขาหันมาดูหน้า เราก็ไม่ได้พูดสักคำว่าจะไปด้วย

ยังไงดีล่ะ…เราสงสารเขา แต่เราก็มีบางอย่างที่ไม่อยากจะให้มันสานต่อไปอีก เอาไว้สักวันเราจะเล่าให้เธอฟัง แต่วันนี้เราเพียงอยากจะเล่าต่อว่า การเห็นสีหน้าแววตาของพี่โสมวันนี้ ก็ทำให้เราคิดเรื่องชีวิตขึ้นมาอีก

คนเราเกิดมาทำไม เราอยู่ไปเพื่ออะไร ถ้าเราไม่ต้องเกิดมาสักอย่างก็จะไม่ต้องมีความคิด ไม่ต้องมีความรู้สึก ไม่ต้องรู้ทุกข์รู้ร้อนอะไร ไม่ต้องหิว ไม่ต้องกิน ไม่ต้องง่วง ไม่ต้องนอน ไม่ต้องอะไรสักอย่างเลย

บางทีนะเพียงบัว เราก็อดคิดไม่ได้ว่า การเป็นก้อนหินสักก้อนหนึ่งมันน่าจะดีกว่าเป็นคน เราจะได้อยู่ไปเป็นพันๆ ปีโดยที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงเราได้ ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องรู้สึกรู้สาอะไร…]

 

[คนเดินทางคะ

จดหมายของเธอเศร้าจังเลย ฉันไปข้างนอกกลับมา เห็นจดหมายของเธอรออยู่ อุตส่าห์รีบหยิบวิ่งเข้าห้องมาเปิดอ่าน นึกว่า…เธอจะเขียนเล่าเรื่องอะไรสวยๆ งามๆ มาให้ฟัง กลายเป็นว่าเธอทำน้ำตาฉันหยดจนได้

ฉันไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกได้ว่าจดหมายของเธอมีแต่ความเจ็บปวดมากมายเต็มไปหมด มันดูจะอยู่ในทุกๆ บรรทัดที่เธอเขียนมา แม้แต่เวลาที่เธอเล่าถึงต้นอ้อ กอแขม ดอกหญ้าข้างทางที่เธอเดินผ่านตอนเช้าตอนเย็น ก็ทำให้ฉันเห็นแต่บรรยากาศที่เหงาจับใจ

เราเป็นคนเหงาของยุคสมัยหรือเปล่า แบบที่ “สิงห์เขาว่าไว้

แต่ฉันก็อยากจะเห็นต่างกับเธอนะ ถ้าไม่เป็นคน ฉันก็ไม่อยากเป็นอะไรหรอก เป็นก้อนหินไปทำไม เพื่อให้ใครๆ เหยียบย่ำเหรอ ถ้าเธอเป็นก้อนหิน เธอรู้เหรอว่าตัวเองจะได้เป็นหินที่ไหน บนภูเขาหรือที่หุบเหวล่ะ

นี่แน่ะ ท่านจิตร ภูมิศักดิ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

ลุกขึ้นเถิดเพื่อนยาไยหน้าเศร้า

คำเก่าๆ มิได้บอกไว้ดอกหรือ

อย่าท้อแท้พึมซึมกระทือ

“ชีวิตคือการต่อสู้” รู้หรือยัง?

ฉันขอมอบให้เธอนะคนเดินทาง]

 

[เพียงบัวที่คิดถึง,

เธอช่างตลกเหมือนกันนี่ บอกว่าอ่านจดหมายของเราแล้วมีน้ำตา แต่ก็ทายท้าความคิดของเรา และมอบกลอนส่งกำลังใจให้เราด้วย…เธอทำให้เราอารมณ์ดีนะ เธอเป็นคนแปลกกว่าใครๆ ที่เราเคยเจอเลย

เราได้หนังสืออีกหลายเล่มที่เธอส่งมา นิตยสารสู่ฝันน่าอ่านมากเลย เราเปิดดูสองสามเล่ม มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น บทกวีในเล่มก็ไพเราะกันมาก เรามีความสุขที่สุดเลยรู้มั้ย

นี่เมื่อคืนก่อนโน้น…เราไปบ้านศพมา ก็บ้านของแม่พี่สาวที่เล่าให้เธอฟัง หลังจากส่งจดหมายฉบับก่อนหน้ามาถึงเธอ เราก็ตัดสินใจไปงานศพในคืนหนึ่ง

บรรยากาศมันเศร้าวังเวงมากเลย ทั้งๆ ที่มีคนจำนวนมาก งานศพในหมู่บ้านมักเป็นศูนย์รวมของผู้คน ใครๆ ก็ต้องมาฟังธรรมกัน เราพบว่าเราไม่ชอบงานขาวดำเลย

มันมีสิ่งที่ดูขัดแย้งกันมากด้วยระหว่างใบหน้าเบิกบานของญาติๆ ผู้ตาย ทุกคนบอกว่าดีแล้วที่ตายไปให้พ้นทุกข์ มียกเว้นแต่พี่สาวของเราคนนั้น ถึงจะมีสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ

แต่เราก็ดูออกว่า…]

 

ฉันไม่ได้เล่าให้เพียงบัวฟังว่า ในคืนสุดท้ายของการตั้งศพ ฉันเอาจักรยานปั่นออกไปเพียงลำพังเมื่อพลบค่ำ ตั้งใจหวังว่าจะเอาซองไปฮอมให้กับบ้านศพสักหน่อย จะมากน้อยฉันก็ใจหายเมื่อเห็นสายตาพี่โสมวันก่อน

ฉันไม่รู้เหมือนกันว่า เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ที่ฉันตั้งใจกลับบ้านเร็วทุกวัน ไปทำงานแต่เช้าเหมือนเดิม แต่หลังพักกินข้าวเที่ยงจะต้องรีบปลีกตัวไปหาที่นั่งอ่านเขียนจดหมาย ถึงเวลาเลิกงานก็ใจจดจ่อจะกลับมารอไปรษณีย์

บุรุษไปรษณีย์ของตำบลนั้น บางวันจะมาเสียมืดค่ำ เพราะต้องนำเอาข่าวสารไปส่งทางหมู่บ้านไกลๆ กว่าจะได้วกเวียนกลับมา แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหา แค่ให้จดหมายมาถึงก็พอ

แต่นั่นก็ทำให้ฉันเหินห่างจากจอมฝันและพี่โสมออกมาเรื่อยๆ แม้แต่หวานด้วย นาน…จนแทบจะลืมเลือนไปแล้วว่าฉันเคยมาบ้านหลังหนึ่งบ่อยแค่ไหน

เมื่อเลี้ยวจักรยานผ่านทางลัดเข้าไป ใจจึงสะทกวูบเมื่อพบกับพี่โสมยืนอยู่ใต้ต้นลำไยพอดี

 

“อ้าว…พี่”

ฉันออกปากไป พร้อมกับพี่โสมเบือนหน้ามา

“อ้าว น้อง”

แล้วก็นิ่งกันไปทั้งสองฝ่าย ฉันลดตัวลงจากอาน หยั่งขาลงพื้น แต่ยังคร่อมคันอยู่

“พี่มาทำอะไรที่นี่”

ใบหน้าที่ดูเผือดกว่าปกติ มีรอยยิ้มที่มุมปากเหมือนไม่ได้ตั้งใจ

“น้องสิ มาทำอะไร”

ฉันรีบควักซองออกจากกระเป๋า

“จะมาฮอมงานศพ”

พี่โสมมองซองในมือฉันนิ่งอยู่ แล้วก็พูดว่า

“ขอบคุณนะ”

ฉันมองร่างสูงที่ยืนใกล้ๆ ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มีอะไรบางอย่างที่แผ่กำจายออกมา ราวว่ามีเส้นเชือกที่มองไม่เห็นเลื้อยออกมารัดพันฉันไว้

“พี่มาทำอะไรที่นี่ล่ะ รออะไร” ฉันยังสงสัยอยู่ เพราะมองไปลิบๆ ก็เห็นเงาคนเคลื่อนไหวไปมา ลานด้านในมีแสงไฟวิบๆ วับๆ นั่นย่อมเป็นที่ปราสาทโลงศพ แต่จุดที่คุยกันอยู่นั้น มีร่มไม้ใบบังดกหนา

“นี่”

พี่โสมหงายมือขึ้น มีบุหรี่มวนขาวๆ สอดไว้ในซอกนิ้ว ไฟแดงริบหรี่

“พี่สูบมูลีด้วยหรือ”

“อือ” ผู้หญิงร่างสูงพยักหน้า “อร่อยดี”

ฉันมองดูริมฝีปากที่เคย…ใกล้มากกว่าใกล้ ใจวูบวาบขึ้นอีก

“สูบข้างในไม่ได้หรอก จะโดนว่า”

“…พี่จอมฝันมามั้ย”

“เขาว่าจะมาวันเผาพรุ่งนี้” พี่โสมตอบ

 

มีความรู้สึกที่ฉันไม่ชอบเอาเสียเลย ไหลวนเป็นมวลหนักๆ อยู่ในอากาศ มันอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันเป็นฉันอย่างนี้ หรือเพราะฉันเป็นอย่างนี้ จึงมีชีวิตขี้หมาอยู่เสมอๆ

เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ฉันก็พบตัวเองกำลังจูบอย่างดูดดื่มแทบลืมหายใจกับผู้หญิงที่ไม่ได้คิดถึง ไม่ได้โหยหา ไม่แม้แต่จะเก็บเอามาฝัน นับแต่วันที่ห่างออกมา

แต่ฉันก็พบว่า รสจูบนั้นยังเร่าร้อนเหมือนเคย หรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เรากำลังอยู่ในเพิงมืดๆ อะไรสักอย่าง

…มันคือโรงครัวร้างๆ ของบ้านหลังหนึ่งที่เราจูงแขนกันเดินเข้าไป

ฉันพอจะนึกออกได้รางๆ นี่คือบ้านของใครสักคนที่ว่ากันว่าเจ้าของคนหนึ่งตาย อีกคนหายหน้า ทิ้งไว้เพียงเรือนเก่าผุพัง ปล่อยให้พวกแมวจรมาพักอาศัย มันอยู่ไม่ใกล้ แต่เราก็ไปจนถึง

“พระจะสวดแล้วมั้งพี่”

“ช่างพระสิ”

“จะดีหรือพี่…งานแม่พี่นะ”

“ช่าง”

“พี่…”

“เขาตายไปแล้วน่ะ เข้าใจหรือยัง เขาตายไปแล้ว”

ฉันประคองใบหน้านั้นไว้ในความมืด ได้กลิ่นสาบของสิ่งเก่าแก่และหมักหมมทั้งหลาย จ้องอยู่นิ่งนานจนสายตาชินกระทั่งเห็นวับวาวผ่านลงแก้ม

“คนเขาจะตามหาพี่”

“ช่าง”

“เขาอาจจะเล่าขวัญพี่”

“หยุดพูดเสียทีได้ไหมเล่า!”

รสจูบที่ร้อนยิ่งกว่าเปลวไฟในเตาอั้งโล่ ฉาบทาบเข้ามา

ฉันทำได้เพียงเปลี่ยนตำแหน่งจากมือที่ประคองใบหน้า เป็นการไขว่คว้าแทรกนิ้วเข้าไปในกลุ่มผม

ฉันไม่ได้เล่าให้เพียงบัวฟัง อันที่จริง ฉันไม่ได้บอกเพียงบัวอีกมากมายในสิ่งที่ได้อุบัติขึ้น เฉกเช่นกระแสพายุอารมณ์…ความสะท้อนสะเทือนที่ผู้หญิงร่างสูงถ่ายเทถั่งโถม รสที่หวานเสียดแหลมคม

ความละอายแก่ใจเมื่อกลับไปถึงบ้าน และแหงนจ้องดูฟ้าอยู่นาน

พลางจมูกยังจดจำกลิ่นขี้แมวขี้ไก่ที่ล่องเคล้ามาในสายลม ขณะต้นขาระริกอยู่