โลกหมุนเร็ว/เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง/เมื่อเด็กแหกกฎ กบฏแล้วแฮปปี้

โลกหมุนเร็ว/เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง [email protected]

เมื่อเด็กแหกกฎ กบฏแล้วแฮปปี้

ผู้เขียนรู้สึกสดชื่นกับข่าว “เด็กคริสเตียนแต่งไปรเวต” เป็นอันมาก

เห็นรูปหนุ่มน้อยหุ่นไม่สำอางแต่งชุดหมีแบบทำงานช่างกลในช็อปแล้วเอ็นดูเป็นที่สุด

อีกคนมาในชุดกิโมโนที่อาจจะได้มาจากไปเที่ยวนอนเรียวกังที่ญี่ปุ่น

บางคนก็ใส่เสื้อเชิ้ตสีเทา กางเกงเรียบร้อย

บางคนมาเต็มยศใส่สูท สวมรองเท้าคู่แพง

ทุกคนดูดีรับได้ ไม่มีพังก์ หัวสีชมพู

เออนะ เด็กๆ ก็ฉีกกฎกันแต่พองาม ไม่ขวางหูขวางตาผู้ใหญ่ที่ตรงไหน

ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนออกมาให้เหตุผลที่น่าฟังเข้าไปใหญ่

ท่านบอกว่านี่เป็นการทดลอง ถ้าไม่ดีก็เลิก และทำอย่างนี้เพราะเด็กจะได้แสดงออกถึงตัวตนของตัวเอง ท่านเป็นผู้อำนวยการที่ใจกว้างและเข้าใจเด็กมากเลย แต่ที่สำคัญท่านมีวิสัยทัศน์ไกล รู้ว่า “ตัวตน” นี่แหละจะสำคัญต่ออนาคตของเด็ก

หนุ่มน้อยที่ใส่ชุดหมีหรือชุดช็อปคนนั้นคงจะไม่ได้คิดจะไปเป็นนักร้องหรือแดนเซอร์ในอนาคตแน่ๆ เขาน่าจะอยากเป็นวิศวกรอะไรทำนองนี้

หนุ่มน้อยที่ใส่กิโมโนก็อาจจะอยากทำงานด้านท่องเที่ยว

ส่วนเด็กที่ใส่รองเท้ากีฬาคงจะเอาดีด้านกีฬา เด็กคนที่ใส่สูทเนี้ยบคงจะเป็นนักธุรกิจในวันหนึ่งข้างหน้า

โรงเรียนคึกคัก สังคมก็คึกคัก

 

ท่านผู้อำนวยการคิดเรื่องนี้มาเป็นสิบปี ท่านกำลังแก้ปัญหาการศึกษาหลายอย่างที่ภาครัฐยังไม่มีปัญญาแก้ ท่านบอกว่าสิ่งที่สำคัญกว่าการเรียนเก่งคือ life skill

เรื่องนี้ใครจะเถียง

life skill คือการรู้จักแก้ปัญหา การมีทักษะในการทำงานกับคนอื่น ทักษะในการเป็นผู้นำและผู้ตาม

การให้เด็กแต่งไปรเวตทำให้เด็กผ่อนคลาย ท่านบอก และเมื่อเด็กมีความสุขมันจะต่อยอดไปถึงเรื่องความสามารถในตัวเขาที่จะแสดงความสามารถออกมา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ท่านบอกว่าเครื่องแบบก็เหมือนหน้ากาก มันทำให้ไม่เห็นตัวจริงของเขา โอ้โห คิดไม่ถึงเลย แต่พอท่านพูดออกมาแล้วก็จริง

สิ่งที่ท่านผู้อำนวยการไม่ได้พูด แต่ท่านทำเลยก็คือ เด็กนั้นอยากได้ครู (และพ่อ-แม่) ที่เป็นเพื่อนกับเขา เห็นรูปท่านผู้อำนวยการโพกศีรษะด้วยผ้าขาวม้าแล้วน่าชื่นใจมาก แบบนี้ได้ใจเด็ก เด็กรู้สึกว่ามีครูเป็นเพื่อนที่เข้าใจ

ดูจากภาพข่าว เด็กทุกคนมีความสุข ยิ้มหัวเราะร่ากันทุกคน วันนี้คงเป็นวันที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การศึกษาไทยเลยนะคะ

ภาพครูโพกหัวดูดีกว่าภาพครูเดิมๆ ที่ใส่เสื้อผ้าไหมแข็งโป๊ก วางมาด ออกคำสั่ง คอยจับผิด แบบนั้น

ท่านผู้อำนวยการบอกว่าเด็กที่เรียนไม่เก่งสอบตก แต่ก็มีอนาคตที่ดีได้ ดีในทางของเขา

 

เรื่องนี้ต้องเชื่อมโยงกับที่มีผู้ทำโพลออกมาในวันเด็กว่าอาชีพในฝันของเด็ก 5 อันดับมีอะไรบ้าง 3 อันดับแรกยังคงเหมือนเดิมคือ แพทย์ ครู ทหาร แต่อันดับ 4 และ 5 น่าสนใจ คืออาชีพนักกีฬา และนักกิฬาอีสปอร์ต (ส่วนใหญ่แล้วอันดับ 4 และ 5 มักชี้เทรนด์สังคม)

จะเห็นว่าอันดับที่ 4 และ 5 ไม่เกี่ยวกับเด็กเรียนเก่งเลย แต่มันหมายถึงทักษะด้านอื่น ไหวพริบในการควบคุมสมาธิและวางแผนในการนำไปสู่ชัยชนะ ซึ่งไม่มีสอนกันในโรงเรียน

สมัยผู้เขียนเรียนมัธยม มีเพื่อนบางคนเรียนไม่เก่งเลย ปัจจุบันเป็นกรรมการบริหารหลายองค์กรขนาดใหญ่ ทรัพย์หนา และสถานะทางสังคมสูง เขาคงมีทักษะในการฟังและการนำที่ดี จึงได้เข้าไปเป็นกรรมการแบบนั้น บางคนก็เป็นนายพล ไปไกลกว่าผู้เขียนเยอะเลยค่ะ

ปัญหาของประเทศไทยเวลานี้ไม่ได้อยู่ที่ใครจะมาบริหารประเทศ แต่อยู่ที่การสร้างคนรุ่นใหม่ ซึ่งก็คือเด็กๆ นี่แหละ รัฐคิดไม่ออก สร้างไม่ได้ ก็อาศัยไอเดียเอกชนก็ได้ ข้อสำคัญอย่าเพิ่งออกมาขวางจะดีกว่า

คนไหนที่คิดได้แค่ “ถ้าไม่รู้จักเรื่องการรักษาระเบียบวินัย หรือแค่นี้ก็รักษาระเบียบวินัยไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรได้” ก็ปล่อยเขาไป แต่ขอภาวนาให้มีคนคิดแบบนี้ไม่มาก

 

ก่อนหน้าข่าวเรื่องเด็กคริสเตียนแต่งไปรเวตก็มีข่าวเรื่องเด็กออกมาส่งเสียงเรื่องเลื่อนเลือกตั้ง เด็กบอกว่า อ้าว เลื่อนได้ไง นี่หนูจะต้องวางแผนใหม่เรื่องการสอบเลยนะนี่

เสียงของเด็ก ผู้ใหญ่ได้ยินไหม ทำไรไม่คิดเลยมาถึงเด็กบ้าง

มีข้อสังเกตอีกอย่างคือ วันเด็กปีนี้ไม่ฟู่ฟ่าเท่าไหร่ ผ่านหน้าธนาคารออมสินที่เคยคลาคล่ำไปด้วยเด็ก ปีนี้เงียบๆ สิ่งที่ผู้ใหญ่จัดไว้ให้ไม่ตอบสนองเด็กแล้วหรือเปล่า

เด็กไปไกลกว่าผู้ใหญ่? พูดใหม่ว่า ผู้ใหญ่ตามความคิดเด็กไม่ทัน

ไม่เห็นข่าวเด็กเข้าแถวรอนั่งเก้าอี้นายกฯ

นั่งมองกิจกรรมวันเด็กแล้วก็รู้สึกว่าการรับรู้ของเด็กและผู้ปกครอง มีแต่เรื่องของทหารกับออมสิน ไม่เห็นมีกิจกรรมเกี่ยวกับกีฬา การเขียน ดนตรี การแพทย์ ธุรกิจ การประดิษฐ์ วิทยาศาสตร์ การสื่อสารมวลชน หรือการเกษตร บ้างเลยค่ะ

อันที่จริงปีนี้มีกิจกรรมสนุกๆ ที่หอศิลป์กรุงเทพ (ศิลปะ) อุทยานวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์) ทีเคพาร์ค (การอ่าน) ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (สังคมศาสตร์) มิวเซียมสยาม (การครัว) สภากาชาดไทย (สวนงูและปลูกฝังจิตอาสา) แต่ผู้ปกครองไม่ค่อยรู้กัน

เสนอมติชนตรงนี้เลย ให้จัดกิจกรรมวันเด็กสำหรับเด็กๆ เพิ่มอีกแห่ง ดีไหมคะ

เราคงไม่ต้องการเด็กเก่งเหมือนเด็กอเมริกันหรือจีนหรอกนะคะ (ถ้าเก่งได้ก็ดีนะ) แต่เด็กที่มีความสุขและรู้จักตัวตนของเขา และผู้ใหญ่สนับสนุนส่งเสริม นั่นละ สุดยอด

ท้ายนี้ความหวังสำหรับวันเด็ก ไม่ได้อยู่ที่อยากให้เด็กเป็นอะไร แต่อยู่ที่อยากให้ผู้ใหญ่ใจเปิดกว้างและเข้าใจ ตามทันเด็กๆ ค่ะ ที่เหลือไม่ต้องห่วง แล้วเด็กๆ จะสร้างสรรค์เอง