รวบข่าวต่างประเทศ : กทม.ติด 1 ใน 3 หารือทรัมป์-คิม / สภาหารือเลือกประมุขพระองค์ใหม่มาเลเซีย / สืบสวน ‘หญิงป่วยเป็นผัก’ แต่ตั้งครรภ์

สหรัฐอเมริกา

วอชิงตัน – เมื่อวันที่ 8 มกราคม สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า กรุงเทพมหานครติด 1 ใน 3 ของเมืองที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้เดินทางมาสำรวจสถานที่สำหรับความเป็นไปได้ที่จะจัดการประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ กับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ คู่กับอีก 2 เมืองคือกรุงฮานอยของเวียดนาม และฮาวาย

ซีเอ็นเอ็นระบุว่า ฝ่ายสหรัฐยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกสถานที่ใดเป็นที่จัดประชุม เพราะรายชื่อของเมืองต่างๆ อาจขยายเพิ่มขึ้นได้อีก และยังไม่ได้มีการนำเสนอรายชื่อสถานที่ดังกล่าวให้ฝ่ายเกาหลีเหนือพิจารณา เพราะยังไม่ได้มีการพบปะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของสหรัฐและเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

ผู้เชี่ยวชาญบางคนเห็นว่าการจัดประชุมที่เวียดนามอาจทำให้เกาหลีเหนือรู้สึกว่าเกิดข้อเปรียบเทียบขึ้น เพราะเวียดนามปฏิรูปเศรษฐกิจด้วยการเปิดประเทศ แต่ผู้นำเกาหลีเหนือไม่พร้อมที่จะเปิดรับการลงทุนจากนอกประเทศเพราะเกรงว่าจะทำให้อำนาจในมือลดน้อยลง

สำหรับไทยนั้นเชื่อว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีเหนือเช่นเดียวกับสิงคโปร์ ซึ่งทรัมป์และคิมได้พบกันไปเมื่อเดือนมิถุนายนปีก่อน เกาหลีเหนือสามารถส่งเจ้าหน้าที่มาอยู่ที่สถานทูตในไทยเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมได้ กรณีของฮาวายก็ไม่สามารถที่จะทำในลักษณะเดียวกันได้ ซึ่งทำให้การเตรียมการมีความยุ่งยาก

ขณะที่สื่อเกาหลีใต้รายงานว่า สถานที่ที่ผู้นำคิมและทรัมป์จะพบกันครั้งที่ 2 คือที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม

มาเลเซีย

กัวลาลัมเปอร์ – สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 มกราคม สภาประมุขแห่งรัฐของมาเลเซียประชุมหารือกันที่สำนักพระราชวังอิสตานา เนการา ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อกำหนดวันเลือกประมุขพระองค์ใหม่ในการปกครองประเทศ หลังจากสมเด็จพระราชาธิบดีมูฮัมหมัดที่ 5 แห่งรัฐกลันตัน พระชนมายุ 49 พรรษา ทรงประกาศสละราชบัลลังก์ในการปกครองมาเลเซียอย่างกะทันหันไปเมื่อวันก่อนหน้า โดยทรงไม่ได้ให้เหตุผลของการตัดสินพระทัยครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการสละการครองราชย์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ของมาเลเซีย

ข่าวแจ้งว่า สมาชิก 6 จาก 9 รัฐ ของสภาประมุขแห่งรัฐมาเลเซีย ซึ่งเป็นองค์คณะประมุขผู้ปกครองแห่งรัฐ 9 รัฐของมาเลเซียในการหมุนเวียนกันขึ้นมาเป็นประมุขในการปกครองมาเลเซียเชิงสัญลักษณ์ ได้ประชุมหารือกันในวันเดียวกันนี้ เพื่อกำหนดวันเลือกองค์กษัตริย์ปกครองมาเลเซียพระองค์ใหม่

ทั้งนี้ การประกาศสละการครองราชย์ของสมเด็จพระราชาธิบดีมูฮัมหมัดที่ 5 แห่งรัฐกลันตัน มีขึ้นหลังจากพระองค์ทรงปกครองประเทศไปได้เพียง 2 ปี จากวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี และการสละราชบัลลังก์ของพระองค์ยังมีขึ้นหลังมีกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่าสมเด็จพระราชาธิบดีมูฮัมหมัดที่ 5 ทรงเสกสมรสใหม่กับอดีตนางงามรัสเซียที่ได้พบรักกัน ซึ่งทางสำนักพระราชวังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อกระแสข่าวนี้

สหรัฐอเมริกา

แอริโซนา – สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ยอมรับว่าทางสำนักงานตำรวจฟีนิกซ์กำลังสืบสวนสอบสวนกรณีพิสดารที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยสตรีรายหนึ่งซึ่งเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่สถานพยาบาล ฮาเซียนดา เฮลธ์แคร์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางในเมืองฟีนิกซ์ เกิดตั้งครรภ์จนคลอดบุตรชายขึ้นมาทั้งๆ ที่อยู่ในสภาพผักถาวร เนื่องจากสมองเสียหายรุนแรง ตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้เพียงบางส่วนและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

ผู้ป่วยสตรีรายดังกล่าวซึ่งอยู่ในสภาพนอนป่วยติดเตียงมาตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุจมน้ำเมื่อหลายปีก่อน และเป็นผู้ป่วยในของสถานพยาบาลแห่งนี้เมื่อมีอาการน้ำเดินจนกระทั่งคลอดลูกเป็นเพศชายออกมาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ไม่มีใครรู้ว่าผู้ป่วยรายนี้ตั้งครรภ์เมื่อใดและอย่างไร และเจ้าหน้าที่ประจำสถานพยาบาลที่ดูแลรักษาก็ไม่รู้ว่าผู้ป่วยรายนี้มีอาการครวญครางด้วยสาเหตุอะไร

ด้านนายเดวิด ไลโบวิตซ์ โฆษกของสถานพยาบาล เปิดเผยว่า ทางสถานพยาบาลเองเพิ่งรับรู้กรณีที่ถือว่าเป็นเรื่องยุ่งยากใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยในของสถานพยาบาลเองเมื่อไม่นานมานี้ไม่ยอมตอบคำถามที่ว่า มีการขอให้เจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยยอมรับการตรวจสอบดีเอ็นเอเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดหรือไม่ รวมทั้งไม่ตอบคำถามที่ว่า มีการใช้มาตรการใดๆ เพิ่มเติมเพื่อให้ความคุ้มครองผู้ป่วยรายอื่นๆ ของสถานพยาบาลเพื่อป้องกันเหตุทำนองเดียวกันนี้หรือไม่เช่นกัน โดยอ้างว่ากฎหมายทั้งของรัฐบาลกลางและกฎหมายของรัฐแอริโซนาเอง ห้ามไม่ให้สถานพยาบาลพูดถึงเรื่องสุขภาพหรืออาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยต่อสาธารณะ

แต่ยืนยันว่าทางฮาเซียนดาจะยังคงให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่กำกับดูแลทั้งหลายอย่างเต็มที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป