การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ค่อยๆ กลับมากอบเก็บปะติดปะต่อ

ใจฉันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียเลย อกเอ๋ย ฉันอยากจะบอกกับก้อนเมฆสีขาวบนฟ้าโน่น อยากจะพูดกับดอกหญ้าเล็กๆ ข้างขอบคันนา อยากจะพูดแม้แต่กับปูที่ไต่อยู่ใกล้ตลิ่งลำธาร อยากกระทั่งจะโน้มตัวลงไปเชยชมดอกบัวกวั๊กสีเหลืองอ่อนในแอ่งน้ำขัง อยากบอกทุกสิ่งทุกอันว่าฉันมีความสุข

ฉันเริ่มรู้สึกว่า ฉันมีความสุขกับเขาได้บ้างแล้วจริงๆ…ความสุขที่มากับท้องฟ้าตอนเช้า ตอนเย็น อยู่ดีๆ ก็มีวันที่โลกของฉันเปลี่ยนไป ทัศนียภาพทุกสิ่งในสายตาสดสวยขึ้น สีของทุกสิ่งเข้มขึ้น และคือสิ่งที่ฉันไม่เคยเบื่อหน่ายจะเล่าไปในจดหมาย

เรื่องราวประจำวันของฉันยังไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมสักกี่มากน้อย ก็ยังต้องไปทำงานทุกวัน แต่ฉันพบปะนัดหมายกับคนตัวสูงน้อยลง ไม่โหยหาที่จะเข้าไปกอดรัดเคล้าคลี สิ่งที่ดึงใจฉันไว้ยิ่งนับวันไป กลับกลายเป็นจดหมายซองยาวๆ ที่ส่งมาทุกสัปดาห์

ฉันพบว่า…มีความสุขอยู่จริงๆ ด้วย ฉันเริ่มพอจะสัมผัสมันได้ แตกต่างไปจากความสุขใดๆ ที่เคยคิดว่ารู้จัก ไม่เกี่ยวกับความรัก ไม่เกี่ยวกับใครๆ แต่เป็นสิ่งที่หัวใจฉันได้สัมผัส

ยามอ่านและเขียนจดหมาย

 

ฉันเขียนจดหมายถึงเพื่อนใหม่ที่ชื่อ “เพียงบัว” โดยไม่เคยเห็นหน้าค่าตากัน จดจำขึ้นใจเพียงลายมือตัวโตๆ เธอมักเขียนมาในกระดาษสวยงามสะอาดตา ลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อย หากเส้นกลับไหวอย่างอ่อนโยน เพียงบัวเป็นคนรูปร่างหน้าตาอย่างไรกันนะ ฉันไม่เคยเห็นหน้า แน่ละ เธอก็ไม่เคยเห็นฉัน แต่ในจดหมายที่เราเขียนถึงกัน มีสิ่งที่เราบอกเล่ากันอย่างมากมาย

ฉันอดคิดไม่ได้ว่า เป็นเพราะถ้อยคำของเธอที่มักถามไถ่ฉันอย่างเอาใจใส่ เธอขึ้นต้นและลงท้ายอย่างสุภาพแสนหวาน เธอยังบอกเล่าให้ฉันฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้ เธอคิดอย่างไรในเรื่องต่างๆ และความกระตือรือร้นที่จะรับรู้เรื่องของฉันบ้าง ก็ทำให้ฉันไม่เคยเบื่อหน่ายจะเขียนเล่าไปเหมือนกัน

จดหมาย…มีจดหมายส่งออกไปมากมาย และมีจดหมายคอยส่งมาถึงฉัน บุรุษไปรษณีย์คนเดิมขี่รถมอเตอร์ไซค์มาบ่อยขึ้น บางครั้งก็แซวฉันว่า “เขียนอะหยังกันปะล้ำปะเหลือ” แต่ฉันก็เพียงแค่ยิ้มให้

ยิ้ม…ฉันยิ้ม มีคนสนใจและทักขึ้นในวันใดวันหนึ่งด้วยซ้ำ แต่ในวันนั้นฉันก็อารมณ์ดีมากพอเสียแล้ว

จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นคนใหม่ ฉันไปทำงานในแปลงเพาะต้นกล้าทุกวัน แต่ฉันรู้แล้วว่ายังมีอีกหนึ่งตัวตนของฉันกำลังใช้ชีวิตในที่ต่างออกไป มันอาจจะเป็นเรื่องแปลกๆ แต่ฉันแค่รู้กับใจตัวเองเท่านั้น

ตัวฉันที่อยู่ใต้นามปากกานั่น กำลังได้สื่อสาร ได้เขียน ได้พูด ในสิ่งที่ฉันคิด ฉันรู้สึก โดยไม่จำเป็นต้องมีใครล่วงรู้ว่าฉันอีกตัวอยู่ที่ไหน นั่นต่างหากคือธาตุแท้และตัวตนของฉัน คนเดียวกับที่ได้บอกทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปในจดหมายทุกๆ ฉบับ

ความลับ ความรู้สึกนึกคิด ความเศร้า ความเหงา ความโกรธ ฉันถ่ายทอดมันออกไป ไม่มีอะไรต้องกังวลใจเลย เพราะไม่มีใครรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน ไม่มีใครรู้ว่าฉันเป็นใคร สิ่งใดที่ไม่เคยพูดกับใครๆ แถวนี้ได้ ฉันได้อธิบายไปจนหมดสิ้น

 

[สวัสดี เพียงบัว

เราดีใจมากเลยนะ ที่วันนี้ได้จดหมายของเธออีกถึงสองฉบับ กระดาษลายการ์ตูนนั้นมีกลิ่นหอมด้วย เรารู้สิ เพราะยกขึ้นมาดมอยู่ตั้งนาน

เธอรู้ไหมเพียงบัว เราเป็นคนชอบดมสิ่งของมากเหมือนกัน บางวัน เราก็จะคอยเอาจมูกไปจรดดมสิ่งต่างๆ และคิดเล่นๆ ว่า ถ้ามันเป็นตัวหนังสือ มันจะเป็นคำว่าอะไร เราจะอธิบายมันยังไง

เราคิดเสมอนี่ ว่าเราอยากเป็นนักเขียน น่ะ เธอคงจะหัวเราะว่าเราเพ้อเจ้ออีกแล้วกระมัง แต่เราคิดจริงๆ นะเพียงบัว เรามองไม่เห็นเส้นทางอื่นสำหรับตัวเองเลย ว่าเราจะมีความสุขกับอะไรได้อีกถ้าไม่ได้เป็นนักเขียน

ทำไมเราอยากเป็นนักเขียนนะหรือ ก็เพื่อให้เราได้เขียนไง – เพื่อให้เราได้เขียน – ขอย้ำตรงนี้ชัดๆ เพราะเราอยากจะพูดในสิ่งที่ไม่เคยมีโอกาสได้พูด เรื่องอะไรหรือ ก็เรื่องของชีวิตเราเองยังไงเล่า

เพียงบัว เธอเรียนหนังสืออยู่ใช่มั้ยล่ะ ตอนนี้อยู่ชั้นอะไรแล้ว เราอยากบอกอะไรกับเธออย่างหนึ่ง — แต่เราไม่ได้เรียนหนังสือหรอกนะ ถึงตอนนี้ เราก็ไม่ได้ไปโรงเรียน เราทำงานแล้ว มันก็ไม่ได้เป็นงานที่ดีอะไรมากมาย แต่เป็นงานที่เราจำเป็นต้องทำอยู่ในตอนนี้…]

ฉันอดคิดไม่ได้ว่า หาก “มิตรใหม่” ที่ชื่อเพียงบัว ได้เห็นที่ทำงานของฉัน เธอจะทำสีหน้าอย่างไร

ฉันเล่าให้เธอฟังไปว่า

[ที่ทำงานของเราอยู่ไม่ไกลจากบ้านหรอก ถ้าเดินเท้าก็จะใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงได้ แต่ถ้าขี่จักรยานไปก็จะถึงเร็วขึ้น ดังนั้น เราจึงเลือกขี่จักรยานแทน แต่ต่อไปขอเรียกว่ารถถีบก็แล้วกัน

รถถีบของเรามีสีแดง เป็นคันแรกและคันเดียวที่เราซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราทั้งสิ้น แต่มันไม่ใช่ของใหม่หรอก เป็นรถที่ผ่านมาถึงสามสี่มือ แต่ก็ยังสภาพดีอยู่มาก ตอนนี้เราทำงานได้เงินวันละสิบเจ็ดบาท (เพิ่งได้ขึ้นค่าแรงมาบาทหนึ่ง) เราต้องใช้เงินถึงห้าร้อยกว่าบาทสำหรับการซื้อรถคันนี้

อันที่จริงเราก็อยากได้รถใหม่เหมือนกัน แต่รถถีบสวยๆ ในตลาด อย่างต่ำก็คันละพันกว่าบาทขึ้นไป เราต้องไม่ใช้เงินสักบาทเดียวเป็นเวลาถึง 2-3 เดือนกว่าจะซื้อมันได้ ถ้าผ่อนเอาต้องเสียดอกเบี้ยหนักขึ้นไปอีก คิดว่าสู้ไม่ไหว แม่บอกว่าให้เราอดทนใช้รถคันนี้ไปก่อน จนกว่าจะลืมตาอ้าปากได้

…เธอยังไม่เบื่อจะฟังเรื่องของเราใช่ไหม ชีวิตของเราไม่มีอะไรตื่นเต้นหวือหวาอย่างคนอื่นหรอกนะ แต่เราก็มีเรื่องอยากเล่าให้เธอฟังมากมาย ถ้าเธอไม่เบื่อหน่าย เราจะเขียนมาบ่อยๆ]

 

ฉันไม่รู้เลยว่า เพียงบัวเป็นคนรูปร่างหน้าตาอย่างไร เคยขอให้เธอบรรยายถึงตัวเอง เธอก็บอกมาเพียงว่า “ฉันเป็นคนตาชั้นเดียว สายตาสั้น ไม่สูงนักหรอก”

แต่มันก็ไม่สำคัญอะไรเลย เพราะตัวฉันเอง เมื่อเพียงบัวถามว่าแล้วฉันมีบุคลิกลักษณะอย่างไร มีรูปส่งไปให้ดูบ้างไหม ฉันก็ตอบว่า…

[เราไม่ค่อยมีรูปถ่ายเลย เพราะถ้าจะถ่ายรูปต้องไปว่าจ้างช่างภาพเสียก่อน พ่อบอกว่า หากจะจ้างเขามาถ่ายภาพเพียงใบเดียว เขาไม่ทำหรอก อย่างน้อยต้องสัก 3 ภาพขึ้นไป ให้คุ้มค่าเสียเวลา

ตอนที่เรายังเด็กกว่านี้ หนหนึ่งพ่อแม่ก็เคยว่าจ้างช่างภาพมา ให้เขาถ่ายภาพน้องของเรา แต่วันนั้นน้องกลัวกล้องจนเอาแต่จะร้องไห้ พ่อต้องคอยจับมือไว้ตลอด ยังจำได้อยู่เลย ไปยืนถ่ายรูปกันที่หน้าวัด มีดอกเข็มแดงพุ่มใหญ่ พ่อต้องคอยหลอกล่อให้น้องสนใจผีเสื้อกับดอกไม้ คิดแล้วก็ตลกดี

…สำหรับตัวเราเหรอ…ก็ตัวไม่สูงเหมือนกัน ประมาณเท่าต้นดอกเก็ดถะหวาได้ (เธอรู้จักไหม ดอกสีขาวหอมมาก) ตัวดำๆ ปากหนา ตาใหญ่ ใครๆ มักพูดว่าเราเป็นคนตาใหญ่เหมือนนกเค้าแมว ก็คงไม่มีอะไรน่าสนใจนักหรอก ไม่ใช่คนสวยคนหล่อ…]

ฉันใช้คำว่าคนหล่อด้วย เพื่อทำให้คลุมเครือมากยิ่งขึ้น อันที่จริง เวลาส่งบทกวีไป ในนามปากกาที่มีความหมายว่า “นักเดินทาง” ก็ไม่เคยบอกใครว่าฉันเป็นชายหรือหญิงกันแน่ เมื่อลงท้ายข้อความ ก็จะใช้ว่า “ฮะ” แทน “คะ, ค่ะ” และบางครั้งก็เขียนคำว่า “ครับ” เอาไว้ด้วย

ฉันคิดว่าตัวเองพอใจ ที่จะไม่ต้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะแม้ร่างกายของตัวฉันจะมีนม มี _ แต่มันคือสิ่งที่เป็นไปตามการกำเนิด แล้วฉันก็ไม่ได้อยากเป็นผู้ชาย ถ้าจะพูดให้ถูก ฉันแค่อยากมีร่างกายแข็งแรงได้มากกว่าที่เป็นอยู่ มีความปลอดภัยในชีวิตของฉัน

เพราะ _ และนมของฉันไม่ใช่หรือ ทำให้ต้องผ่านพบอะไรต่อมิอะไรมากมาย ทำให้เกือบตายครั้งแล้วครั้งเล่า

มันยังเป็นตลกร้าย ทุกครั้งที่ฉันอยากตาย ก็ไม่เคยตายได้ แต่ครั้นเมื่อไหร่ที่อยากจะมีชีวิตอยู่ดีๆ กลับมีแต่สิ่งทำให้เจ็บปวดแทบแหลกสลายยับเยินทุกครั้งไป

แต่…ฉันก็ยังไม่ได้เล่าอีกหลายเรื่องให้มิตรใหม่ฟัง เพียงบัวมีตัวหนังสือสวยงามส่งมาเสมอ เธอทำให้ฉันหวนระลึกถึงเมื่อครั้งยังมี “ชื่นใจ” อยู่ในชีวิต หรือแม้แต่วันที่แก้มหอมเคยเป็นนางฟ้าประจำดวงใจ ฉันอดคิดไม่ได้ว่า ในโลกที่สวยงามของเพื่อนใหม่

ฉันไม่ควรจะเอาเรื่องเลวร้ายเกินไปเล่าให้เธอฟัง

 

ฉันจึงเขียนจดหมายถึงเพียงบัวแทบทุกวัน บางวันก็ร่างบทกวีเอาไว้ บางวันพับใส่ถุงย่ามไปเขียนต่อที่เพิงพักทำงาน โดยทั้งหมดนั้น พยายามเล่าถึงแต่สิ่งที่สวยงาม ส่วนที่เป็นความเศร้าความเจ็บของฉัน เลือกจะเขียนมันในรูปบทกวี

ฉันยังมักจะเล่าถึงคนในหมู่บ้าน คนนั้นคนนี้ ไม่ได้นินทาว่าร้ายอะไร แต่เพียงเล่าในสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน

ฉันเล่าให้เพียงบัวฟังว่า ในเมืองเล็กๆ ที่ฉันอยู่นี้ ผู้คนไม่ไยดีการอ่านการเขียนหนังสือหรอก คนที่ชอบอ่านหนังสือมากๆ อย่างฉัน ได้รับสมญานามว่า “ผีบ้า” บางครั้ง พวกเขาก็จะหัวเราะขบขันฉัน มีเสียงลอยมาเข้าหูอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัว ไม่เจียมหัวกะโหล้ง

ไม่รู้หรอกรึว่าหนังสือนั้นกินไม่ได้! — ทำเป็นนั่งชูคอเขียนอ่าน ขี้คร้านออกแรงละไม่ว่า! — นิสัยอย่างนี้จะมีใครเอาไปเป็นลูกเป็นเมีย — โง่เง่าอย่างนี้จะมีความเจริญก้าวหน้าได้ยังไง — ง่าวแล้วยังทำตัวหัวสูง — ฯลฯ พวกเขาล้วนแต่เล่าขวัญกันมากมาย บางคนขนาดพูดว่า พ่อแม่ก็เป็นคนฉลาด มีคนนับหน้าถือตา ทำไมมีลูกออกมาเป็นคนสลิด ไร้ความคิด ไร้ปัญญา

การมีหนังสือส่งมาถึงฉันอีกหลายกล่องใหญ่ๆ ยิ่งทำให้ผู้คนพูดกันว่า คอยดูเถอะ สักวันฉันจะไม่เหลืออะไร แล้วจะต้องเสียใจ เมื่อใครๆ ก็เอาลูกเอาผัวนำหน้าไปหมด

 

[เพียงบัว…

เราขอบคุณเธอมากๆ เลย ที่อุตส่าห์ส่งหนังสือมาให้เราอ่าน ดีใจอย่างที่สุด เปิดดูแต่ละเล่มที่เธอส่งมา มีแต่เรื่องน่าอ่านทั้งนั้น เราไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเล่มอย่างนี้หรอก ยิ่งพวกปกสวยๆ อย่างนี้แทบไม่เคยมีโอกาสเห็น เราเปิดดูแล้วทุกเล่ม มีความสุขมากที่จะได้นอนอ่านมันทั้งหมดในทุกๆ คืน

…สัญญา เราจะรักษาหนังสือของเธอเป็นอย่างดี เราจะทะนุถนอมมันเท่าชีวิต

หนังสือกล่องล่าสุดมาถึงเราอีกเมื่อวาน หนนี้เราแบ่งไปให้แม่ลองดูด้วย แม่สนใจเรื่องของ “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” และเล่มของ “นิคม รายยวา” แต่แม่ก็บอกว่า อยากจะอ่านทุกเล่มเหมือนกัน

เพียงบัวรู้อะไรไหม ฉันกับแม่ได้คุยกันมากขึ้นเพราะหนังสือของเธอด้วยนะ

…นี่ แล้วดีจังเลยน่ะ ที่บ้านของเธอขายหนังสือด้วย เราไม่เคยไปลพบุรีเลย ร้านของบ้านเธออยู่ในตลาดหรือ เธอช่างมีโอกาสที่ดีจัง อ้อ ขอบคุณอีกครั้งนะ สำหรับ “วัยหวาน” ที่ส่งมาให้เราอีก ถึงเป็นเล่มเก่าเราก็ดีใจเสมอ เธอไม่ต้องรีบส่งเล่มใหม่มาก็ได้ เราอ่านย้อนหลังได้ ไม่มีปัญหา

เราอยากจะบอกเธอว่า เรามีความสุขมากๆ ที่มีเธอเป็นเพื่อนทางจดหมายในตอนนี้ ถึงเราจะอยู่ไกลกัน แต่เราก็ได้พบกันในตัวหนังสือ ในบทกวี เราเขียนบทกวีถึงเธอด้วยแหละ มีหลายบท ถ้าหากผ่านพิจารณาจากพี่ทยานิจวันใด ให้เธอเดาเอาว่า บทไหนที่เราเขียนให้เธอ

แต่ถ้ามันไม่ได้ลงในหนังสือ เราจะส่งไปให้เธออ่านวันหลังนะ]

 

ฉันรู้ว่า หลายครั้งตัวหนังสือของฉันมักจะวกวน เหมือนคนบ่นบ้า ซ้ำคำซ้ำความ บางครั้งก็ราวกับสายน้ำที่หลากไหลไปไม่มีจุดจบสิ้น มีความสุขเอิบอาบอยู่กับตัวฉันแล้วนี่ ทุกคราวที่ลากปากกาไปบนเส้นบรรทัดกระดาษ เขียน วาด บอกเล่า ในสิ่งที่คิดที่ฝัน

ฉันตื่นเช้า สะพายถุงห่อข้าวไปทำงาน รับค่าแรงวันละสิบเจ็ดบาท เพื่อจะรอทุกย่ำเย็น กลับบ้านมาเห็นซองจดหมายจากลพบุรี จากเพื่อนที่แสนงดงามในความรู้สึก คนที่ยิ่งนานวันไป ต่อให้เรายังไม่เคยพบกัน ฉันก็รู้สึกว่า…ครึ่งชีวิตที่แทบไม่เหลือชิ้นดีอันใด ค่อยๆ กลับมากอบเก็บปะติดปะต่อได้อีกครั้ง