การเมืองของดารา เรื่องจริงจาก ‘เอ๊ะ อิศริยา’ และเหตุผลที่ทำไมดาราถึงหันมาสมัคร ส.ส.

จาก “ดารา” ในวันโน้น วันนี้ เอ๊ะ-อิศริยา สายสนั่น ในวัย 35 ปี นอกจากจะผันตัวไปเป็นผู้จัดละครที่มีผลงานพิสูจน์ฝีมือมาหลายเรื่องแล้ว เธอยังมีสถานะเป็นนักศึกษาปริญญาเอก คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

โดยเลือกวิชาเอกสื่อสารการเมือง และกำลังอยู่ในขั้นตอนการทำวิจัยเพื่อจบ

หัวข้อวิจัยที่เธอเลือกคือ “การเมืองของดารา”

ทั้งนี้ เอ๊ะบอกว่า เนื้อหาหลักๆ ที่เธอเรียนเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำแคมเปญให้องค์กรการเมือง

“สมมุตินักการเมืองจะทำโฆษณา เราจะวางแผนแคมเปญทั้งหมดเลยว่าเริ่มต้นยังไง ทำยังไง องค์กรเขามีจุดดี จุดด้อยอย่างไร จะสื่อสารยังไงให้ตรงจุด”

หากอย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงนั้น “การเมืองเป็นเรื่องของการต่อรองอำนาจ ซึ่งอำนาจในที่นี้ไม่ได้มีเฉพาะสถาบันการเมือง หรือเฉพาะพรรคการเมืองนะคะ แต่อำนาจมีในทุกสถาบันเลย”

อย่างสถาบันครอบครัว พ่อก็มีการใช้อำนาจสั่งการกับลูก กับแม่ก็มีการต่อรองอำนาจซึ่งกันและกัน ส่วนในสถาบันขององค์กรธุรกิจต่างๆ ก็มีการต่อรองอำนาจของผู้บริหาร พนักงาน

วงการบันเทิงเองก็ไม่ต่าง

“หัวข้อที่เราทำคือ ศึกษาว่า วงการบันเทิงบ้านเรา ตามวัฏจักรที่ดำเนินไป คือพออายุมากขึ้น อำนาจต่อรองก็ลดน้อยลง”

ดังนั้น คนที่เคยเป็นพระเอก นางเอก ก็อาจกลายไปเป็นนักแสดงที่บทบาทไม่เด่นนัก จากนั้นก็จะค่อยๆ จางหายไปจากวงการ

“แต่บางท่านเวลาและอายุไม่มีผล อายุมากแล้วแต่สามารถเป็นตัวนำได้อยู่ อยู่ในวงการมานานแล้วก็ยังมีความสำคัญ มีอำนาจต่อรอง”

เป็นการวิจัยซึ่งคนทำหวังว่าเมื่อเสร็จแล้วน่าจะก่อให้เกิดประโยชน์กับคนอ่าน ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ในวงการไหน

“คือเราจะกลั่นออกมาว่าเขาใช้หลักการในการสื่อสารอย่างไรให้ยังคงมีอำนาจต่อรอง มองในพฤติกรรมที่เขาทำ การต่อรองแฝงไปด้วยทฤษฎีหรือมีหลักการอะไรบ้าง คนที่อ่านสามารถนำไปปรับใช้ ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ตาม”

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการมัดใจเหล่าผู้ชม หรือแฟนๆ ของบรรดาดารา นักแสดง

ซึ่ง “ถ้าคนอ่านเป็นผู้บริหาร เขาจะใช้หลักการนี้กุมใจพนักงานได้ หรือแม้กระทั่งนักการเมือง อ่านแล้วจะรู้ว่านักแสดงยังเอาตัวไปอยู่ในใจของประชาชนได้ นักการเมืองก็อาจใช้หลักการพวกนี้ได้เช่นเดียวกัน”

จากการสัมภาษณ์เพื่อหาข้อมูล ที่ตอนนี้เธอคุยกับนักแสดงไปกว่า 10 คนแล้ว เอ๊ะบอกว่าเรื่องที่เขาและเธอเหล่านั้นเล่า ทำให้ได้ข้อคิดหลายอย่าง เช่น โดยส่วนตัวซึ่งเป็นนักแสดงมาก่อน ก็ได้ทบทวนว่าที่ผ่านมามีอะไร ยังไงกับชีวิตของตัวเอง ขณะที่ในส่วนคนอ่าน ก็มั่นใจว่าทุกอย่างเป็นข้อคิดที่ดีมาก

“จะรู้เลยว่าที่เขายืนหยัดอยู่ได้ สำคัญที่สุดเลยคืองาน แล้วเขาก็รู้ว่าเรื่องงานสำคัญมากกว่าชีวิตส่วนตัวของเขาอีก คนดูจะรู้ชีวิตส่วนตัวของเขาเยอะอยู่แล้วแหละ แต่ว่าเขาสนับสนุนหรือไม่ อยู่ที่งานเป็นหลัก เพราะฉะนั้น ที่ทำให้นักแสดงเหล่านี้เขากุมใจคนได้คือเขาโฟกัสที่งานเป็นหลัก”

“แล้วงานเขาดี”

เอ๊ะที่เคยถูกทาบทามให้ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วหลายครั้ง และปฏิเสธทุกที

เหตุผลน่ะหรือ?

คือคำตอบที่มาพร้อมเสียงหัวเราะว่า “ไม่ใช่ทางของเราค่ะ”

หากขณะเดียวกันก็บอกด้วยว่า เธอก็ไม่แปลกใจที่นอกจากเธอแล้ว ยังมีดาราหลายๆ คนถูกทาบทามให้เข้าร่วมในการลงสมัครรับเลือกตั้งเช่นกัน

“ดาราจริงๆ มันใกล้กับงานที่เอ๊ะศึกษานะคะ ดาราก็เป็นที่รักของประชาชน เป็นที่รู้จักและเป็นที่รัก เพราะฉะนั้น ถ้าดาราคนนั้นเป็นที่รักและมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นตัวแทนของประชาชนได้ ก็อาจจะเป็นหนึ่งในช้อยส์ที่เขาจะเลือก เหมือนอย่างตัวเอ๊ะจะเลือกนักการเมืองคนไหนมาเป็นปากเป็นเสียงแทน ก็ต้องรู้จักและชื่นชอบเขา ทั้งในตัวตนและนโยบาย นักแสดงเป็นคนสาธารณะอยู่แล้ว เราก็จะรู้ว่าเขาเป็นคนอะไรยังไง ถ้าเขามีแนวคิดที่ตรงกับเรา เราชื่นชอบเขา เราก็เลือก ก็ถือว่าเป็นตัวแทนที่ดี เพราะเขาก็มีความชัดเจน คนก็รู้จัก เลยทำให้ดาราบางคนอาจจะเบนเข็มไปเล่นการเมืองก็ได้”

ก็เหมือนอย่างขณะนี้ที่มีดาราหลายคนขอลงสนามสู้ศึกเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง