ล้วงตัวตน ค้นชีวิต “มิน พีชญา” ร่างเก่า-จิตใจใหม่ ที่เจ้าตัวบอกว่ามาในเวอร์ชั่น “ปรับปรุง”

“อยากเป็นนักแสดง ไม่ได้อยากเป็นนางเอกอย่างเดียว”

ด้วยเหตุผลนี้ พอรู้ว่าช่อง 7 จะทำละครเรื่อง “นางทิพย์” โดยมอบหมายพิมพ์อัปสร เทียมเศวต ที่คุ้นเคยกันอยู่เป็นผู้จัด มิน-พีชญา วัฒนามนตรี เลยเอ่ยปากขอเล่น จองเป็น “นางร้าย”

“อยากขึ้นชื่อแบบ พูดถึงมิน ให้คิดถึงฝีมือ”

และพอได้เล่นเป็น “ทิพย์ฉาย” พระธิดาของกษัตริย์ ซึ่งมีความเด็ดเดี่ยว ไม่อ่อนหวาน ไม่อ่อนโยน และแม้จะร้าย แต่ก็มีเหตุผล-สมใจอยาก นอกจาก “สนุกมากกกกกกกก สนุกแบบตัวสั่นเลย” แล้ว นักแสดงคนดังยังรู้สึกด้วยว่า เธอก้าวมาถึงจุดที่ “พูดได้เต็มปากว่าฉันคือนักแสดง”

นักแสดงที่สามารถเล่นบทอะไรก็ได้โดยไม่ต้องห่วงสวย

“คนชอบพูดว่านางเอกติดสวย ไม่จริง นางเอกก็คือนักแสดง และนักแสดงคือเป็นอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น เล่นร้ายสำหรับมินก็โอเค”

ยังเล่าด้วยว่า ในช่วงถ่ายทำ เธอตื่นเต้นและทุ่มเทกับทุกฉาก ขณะเดียวกันเมื่อได้เห็นทีมงานทุกคนที่อยู่ในอารมณ์เดียวกันแล้ว ก็มั่นใจมากว่าจะได้ผลงานที่ดี

มินในวัย 29 ปี พูดถึงตัวเองด้วยว่า ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็ก เข้าวงการมาตอนอายุ 17 ดังนั้น พอผู้ใหญ่มอบโอกาสอะไรให้ ก็คว้าไว้ คล้ายๆ จะเป็นช่วงค้นหาตัวเอง ว่าจริงๆ แล้วชอบอะไร ชอบบทบาทการแสดงไหน หวานๆ เก๋ๆ เท่ๆ หรือเก่งๆ ก่อนจะได้ข้อสรุปว่า แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่ที่แบบไหน “แต่ชอบอะไรที่ท้าทายความสามารถมากกว่า”

นางเอกเบอร์ต้นๆ ของวงการ ที่ทำงานมาแล้ว 12 ปี บอกว่าถึงตอนนี้เธออยากทำทุกชิ้นงานออกมาให้ดี เน้นที่คุณภาพ ไม่นับปริมาณ

“ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะเร่งเหมือนสมัยก่อน ปีหนึ่ง 5 เรื่อง ไม่ต้องหลับต้องนอน” เล่าแล้วก็ยิ้มอ่อน

ช่วงพีกของตอนนั้น เธอว่าแม้ใจจะสู้ แต่สภาพร่างกายกลับไม่ไหว

“เหมือนเราสะสมมาแรมปี เป็นเคมีที่ร่างกายผิดปกติเลย อ่อนแอลง รู้สึกเหนื่อย เวียนหัว พ่อบอกต้องพักแล้วนะ”

เธอจึงตัดสินใจงดรับละคร 1 ปี แล้วใช้เวลาไปกับสิ่งที่เจ้าตัวเรียกว่า “เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต”

“ทำอะไรที่แบบค้นหาอีกด้านของชีวิต”

ซึ่งก็ทำให้รู้สึกโตขึ้น มีมุมมองในเรื่องต่างๆ มากขึ้น เห็นโลกกว้างขึ้น “กว้างแบบมหัศจรรย์” คือคำที่เธอเลือกใช้

“แต่ก่อนเป็นเด็กกองถ่ายละครไง กินที่กอง โตที่กอง นอนที่กอง อ่านหนังสือสอบที่กอง แล้วพอวันหนึ่งเรียนจบ ทำงานมาสักพัก ก็เริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ ที่บ้านก็มีธุรกิจ”

เรื่องงานตอนนั้นคิดยังไม่ตก แถมเรื่องใจก็ยังรู้สึกวุ่นวาย

“มีช่วงหนึ่งถามตัวเองว่าเราเกิดมาทำไม”

“แม่กับป๊าบอกตลอดว่า ทุกๆ วันต้องมีความสุข”

แต่เธอไม่มี

เพราะแทนที่จะอยู่กับ “ปัจจุบัน” กลับเอาแต่คิดถึง “อนาคต” อะไรดีๆ ที่มีอยู่ตรงหน้าจึงไม่ถูกพิจารณา การเรียนจิตวิทยาจึงเป็นหนึ่งในแผนซึ่งถูกบรรจุอยู่ในช่วงพักงาน

“ไปเรียน ไปพัฒนาตัวเองในหลายๆ คลาส ทำให้เข้าใจจิตใจคน เข้าใจอะไรมากขึ้น แล้วพอเราเห็นใจผู้อื่นมันก็จะกลับมาทำให้เรามีความสุขในทุกๆ วัน เพราะอาชีพเราทำงานกับคนเยอะมาก คนหลายรูปแบบมาก แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรให้คนมีความสุข”

ขณะเดียวกันยัง “ลืม” ด้วยว่าก่อนจะสร้างความสุขให้คนอื่น ตัวเธอเองต้องมีสุขก่อน-ไม่อย่างนั้นจะ “ส่งต่อ” ได้อย่างไร

ในวันที่ “รู้แล้ว” อย่างนี้ เธอจึงเป็นมิน พีชญา ที่ “รู้สึกเลยว่าคนจะชอบ เป็นเวอร์ชั่นที่แข็งแรงกว่าเดิม เติบโตทางด้านความคิด จิตวิญญาณ มีความเข้าใจ ต้องใช้คำนี้ คือไม่ใช่แบบคนให้ทำแบบนี้ แล้วเราทำ แต่คือเราเข้าใจ เราถึงทำด้วยความจริงใจ เป็นอะไรที่ระยะยาวกว่า มีความสุขกว่า”

นอกจากการแสดง และทำธุรกิจครอบครัว มินยังจับมือเพื่อนสนิทอย่างปุ๊กลุก-ฝนทิพย์ วัชรตระกูล ทำรายการ “GirlFriends” แพร่ภาพทางยูทูบ ด้วยหวังให้คนเห็นว่า แท้จริงแล้วพวกเธอก็เป็นคนปกติเหมือนใครๆ

“อยากให้เห็นอีกภาพของเราที่ไม่ใช่ดารา อยากให้รู้ว่าเราเข้าถึงได้ มีความรู้สึก เป็นโลกปกติ ไม่ใช่ซูเปอร์วูแมนรับได้ทุกเรื่อง”

“คนชอบมองว่าบ้านมินรวย ดูจับต้องไม่ได้ คุณหนู ซึ่งตัวตนมินไม่ใช่ ภาพที่ออกมาแบบนั้นผ่านสื่อ ผ่านการตีความของปากกาอีกที จริงๆ เราชิลมาก อะไรก็ได้ ส้มตำข้างทางก็ได้ กล้าพูดว่ามินติดดินกว่าหลายๆ คนอีก”

กับการทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน อันที่จริงน่าจะหนักหนาเอาเรื่อง แต่สำหรับมินเธอว่า ไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย

“เป็นคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ หลายคนบอกมินเป็นไฮเปอร์ ไฮเปอร์แปลว่าขยันหรือเปล่า” เจ้าตัวเล่าพร้อมหัวเราะ

“มินถูกสอน ถูกใส่มาตั้งแต่เด็กๆ ว่าให้ขยัน”

ดังนั้น ชีวิตนี้จึงไม่กลัวคนเก่ง แต่เกรงคนขยัน

“รู้สึกว่าคนขยันทรงพลังที่สุด แต่ไม่ใช่ขยันแบบไร้ทิศทางนะ ต้องขยันแบบฉลาดด้วย”

ในเรื่องธุรกิจ มินบอกว่าเธอยังอยู่ในระดับ “เบบี๋” เมื่อเทียบกับ “ป๊า” ที่ผ่านมาจึงเคยตัดสินใจอะไรผิดพลาด “แต่ป๊าจะเป็นแนวสนับสนุน บอกเอาน่ะ ค่าหน่วยกิต ความผิดพลาดมีไว้เพื่อเรียนรู้ แต่อย่าพลาดซ้ำๆ เพราะการพลาดซ้ำๆ ก็เหมือนเราไม่ได้ทบทวนอะไรเลยในชีวิต ยังผิดอยู่ที่เดิม เมื่อพลาดแล้วเรียนรู้ คือการเติบโต แต่คนที่กลัวแล้วไม่ยอมทำอะไรเลย อันนั้นน่ากลัวมาก มินกลัวตัวเองเป็นแบบนั้น เลยไม่เคยหยุดนิ่งอยู่เฉยๆ เวลาได้ออกนอกบ้านจะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า วันนี้ฉันโตขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ วันนี้ฉันได้เรียนรู้อะไร”

เมื่อถามถึงความคาดหวังในเรื่องงานต่างๆ ที่ทำจากความพยายามเต็มที่ มินไม่ได้ตอบกลับมาเป็นตัวเลข ชื่อเสียง หรือรางวัล แต่บอกว่า “มินคาดหวังว่าจะทำงานได้ดีและรู้จักพักผ่อน คาดหวังว่าจะเก่งในเรื่องการรักษาสมดุลชีวิต”

“มินไม่ค่อยกลัวตัวเองไม่ทำงาน เป็นคนเต็มที่กับทุกอย่างมากๆ แต่กลัวจะเสพติดมันจนไม่พักเลยมากกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับมิน”

“การฝึกตัวเองให้ขยันเป็นเรื่องที่ยากแล้ว พอต้องฝึกตัวเองให้พักยิ่งยากเข้าไปอีก”

แต่ก็ต้องทำ เพื่อให้สุขภาพและการใช้ชีวิตไปได้ดีควบคู่ไปกับการประสบความสำเร็จของงาน เพราะถ้าด้านใดด้านหนึ่งล้มเหลว คงไม่เข้าที

“ถ้าเรารักษาสมดุลชีวิตได้ดี แม้จะดูช้า แต่ถ้ามั่นคง ยั่งยืนกว่า เผลอๆ เราจะซัพพอร์ตผู้คนได้มากขึ้น เราแข็งแรงก็ช่วยคนอื่นได้มาก แต่ถ้าเรายังโยกเยกไปมา ก็ไม่มีกำลังใจจะไปช่วย”

“สิ่งสำคัญที่สุดในการกลับมาของมินครั้งนี้ก็คือคาดหวังว่าตัวเองจะช่วยเหลือสังคมได้มากขึ้น ในฐานะที่เป็นบุคคลหนึ่งที่มีชื่อเสียง แล้วก็เป็นบุคคลที่มีวุฒิภาวะ มีกำลังในหลายๆ ด้าน”