การอธิบายเรื่องตาย-เกิดตามทฤษฎีต่างๆ | เสฐียรพงษ์ วรรณปก

หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกวันที่ 05/10/2018

 

การอธิบายเรื่องตาย-เกิดตามทฤษฎีต่างๆ

เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี้ นักวิชาการสมัยนี้ ปัญญาชนสมัยนี้มักจะไม่เชื่อ โดยให้เหตุผลง่ายๆ ว่า พิสูจน์ไม่ได้บ้าง ไม่เห็นบ้าง

ผมขอฝากไว้ตรงนี้ว่า เราในฐานะที่เป็นชาวพุทธ ในฐานะที่ได้รับยกย่องว่าเป็นปัญญาชน อย่าปฏิเสธอะไรง่ายๆ

แล้วในขณะเดียวกัน ก็อย่ายอมรับอะไรง่ายๆ เราต้องศึกษาให้ถ่องแท้ พินิจพิจารณาถึงเหตุผล

ในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธศาสนาพูดไว้ชัดเจนว่าคนเรานั้นมีกิเลสอยู่เกิดแน่ ตายแล้วเกิดแน่ ส่วนจะเกิดเป็นอะไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ถ้าหมดกิเลสแล้วดับแน่ ไม่มีการเกิดอีกเหมือนตะเกียงที่หมดน้ำมัน จะจุดอย่างไรมันก็ไม่ติด รถที่ไม่มีน้ำมัน สตาร์ตอย่างไรก็ไม่ติด แต่ถ้าเติมน้ำมันเข้าไปมันก็ติด มันก็วิ่งไปได้

ทำไมเราจึงเชื่อว่าตายแล้วเกิด เหตุผลอย่างหนึ่งคือ คนเรานั้นเกิดมามันแตกต่างกันตั้งแต่เกิด สังเกตไหมครับว่าพวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่เหมือนกันเลย ลองพิจารณาดูดีๆ คนเราแตกต่างกันตั้งแต่เกิด

ในแง่กายภาพ บางคนก็หล่อมาก บางคนก็หล่อน้อย บางคนก็หล่อพอประมาณ บางคนก็สูง บางคนก็ต่ำ บางคนก็ดำ บางคนก็ขาว

ทางด้านจิต บางคนจิตใจละเอียดอ่อน มีเมตตากรุณา บางคนเหี้ยม บางคนก้าวร้าว บางคนหยาบคายไม่เหมือนกัน ทำไมจึงไม่เหมือนกันท่านทราบไหม

 

การตาย-เกิดตามหลักทฤษฎีพรหมลิขิต

มีนักวิชาการหลายๆ สาขาเสนอหน้ามาอธิบาย ต่างฝ่ายต่างก็พยายามอธิบาย แต่ก็ข้างๆ คูๆ ไม่สมเหตุผล นักทฤษฎีพรหมลิขิตก็ยกทฤษฎีพรหมลิขิตขึ้นมาอธิบาย ที่คนเกิดมาแตกต่างกันนั้น เพราะพระเจ้าสร้างมาไม่เหมือนกัน

ถ้าถามว่าทำไมพระเจ้าสร้างมาไม่เหมือนกัน

เขาก็จะตอบว่า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ถ้าซักกลับไปอีกว่า ทำไมพระเจ้าจึงประสงค์อย่างนั้น ซักไปซักมาก็คงเตะปากกันจนได้ เพราะไม่สามารถที่จะอธิบายให้ชัดเจนได้ ผลที่สุดก็จะจน

มันขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้า คุณจะไปเสือกรู้ได้อย่างไร ผลที่สุดก็ต้องทะเลาะกัน

ทฤษฎีพรหมลิขิตนี้อธิบายไม่ได้หรอกครับ ถ้าซักจริงๆ แล้ว หาเหตุผลไม่ได้

การตาย-เกิดตามทฤษฎีพันธุกรรมศาสตร์

ทีนี้นักพันธุกรรมศาสตร์พยายามจะอธิบายว่า คนเราที่แตกต่างกันเพราะถ่ายทอดทางยีน (gene = ลักษณะถ่ายทอดทางพันธุกรรม) ไม่เหมือนกัน ต่างยีนต่างสายเลือด ต่างบรรพบุรุษ มันจะเหมือนกันได้อย่างไร เขาก็พยายามอธิบายให้เห็นว่า เป็นเพราะพันธุกรรม

ทฤษฎีนี้ อธิบายความแตกต่างทางกายภาพค่อนข้างดี คนเรายีนเหมือนกัน เกิดมาไม่เหมือนกัน

แต่ว่าอธิบายไม่ได้ในเรื่องที่เป็นด้านจิต สมมุติว่าฝาแฝดยีนอย่างเดียวกัน หน้าตาเหมือนกันทุกประการ ทักกันผิดเลยติ๋มกับต๋อย ไม่รู้คนไหนเป็นติ๋ม ไม่รู้คนไหนเป็นต๋อย พ่อแม่ยังทักผิด ในกรณีฝาแฝดนั้นเหมือนกันหมด แต่ว่าฝาแฝดคนพี่จิตใจดี จิตใจละเอียดอ่อน เป็นคนสุภาพเรียบร้อย แต่คนน้องกลับตรงกันข้าม ทำไมไม่เหมือนกัน ทั้งที่ยีนเดียวกัน สายเลือดเดียวกัน

ทฤษฎีพันธุกรรมว่าอย่างไร อธิบายได้ไหม อธิบายไม่ได้

การตาย-เกิดตามทฤษฎีสิ่งแวดล้อม

อีกพวกหนึ่งคือ นักทฤษฎีสิ่งแวดล้อม บอกว่าคนเราเกิดมาไม่เหมือนกันเพราะสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน อยู่ในสิ่งแวดล้อมต่างกัน คนเราก็ต้องแตกต่างกัน

อย่างในนิทานที่บอกว่า นกสองตัว ตัวหนึ่งไปอยู่กับฤๅษี อีกตัวหนึ่งไปอยู่กับโจร นกที่พูดได้เขาเรียกนกแขกเต้า ตระกูลเดียวกับพวกนกแก้ว ตัวไปอยู่กับพวกฤๅษีก็พูดเพราะ เจริญพร เจริญพรอยู่เรื่อย

ตัวที่ไปอยู่กับพวกโจรก็ ฆ่ามันเลย…ปล้นแม่มันเลย…เพราะมันได้ยินคำเหล่านี้อยู่ตลอด ก็เลยเลียนแบบ สิ่งแวดล้อมแตกต่างกันทำให้มันแตกต่างกันได้

ที่ทางพุทธบอกว่า คบคนเช่นไรก็เป็นคนเช่นนั้น คบมหาโจรก็กลายเป็นมหาโจรในที่สุด คบนักเลงการพนัน ตอนแรกๆ ก็เล่นการพนันไม่เป็น ไปๆ ก็เล่นเป็นไปเอง มันซึมมันซับโดยอัตโนมัติ เพราะสิ่งแวดล้อมมันบันดาลให้เป็นไปได้

นักทฤษฎีสิ่งแวดล้อมก็บอกว่า เพราะสิ่งแวดล้อมทำให้คนแตกต่างกัน

ทฤษฎีนี้ก็อธิบายไม่ได้ในกรณีแฝด ฝาแฝดสองคนพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน อยู่ในครอบครัวเดียวกัน สิ่งแวดล้อมเดียวกัน คุณจะเอาอะไรอธิบาย คนหนึ่งดีเหลือเกิน คนหนึ่งก็เลว ในด้านบุคลิกด้านคุณธรรม มันแตกต่างกัน

สิ่งแวดล้อมเดียวกันแล้วทำไมไม่เหมือนกัน ไม่ดีเหมือนกัน อธิบายไม่ได้

การตาย-เกิดตามหลักทฤษฎีการเกิดใหม่

แต่ทฤษฎีอะไรอธิบายได้ ทฤษฎีเรื่องการเกิดใหม่ (Rebirth Theory) อธิบายได้ ทำไมคนเกิดมาไม่เหมือนกัน เพราะทำกรรมมาไม่เหมือนกัน แต่ละคนต่างคนต่างทำ สั่งสมความดีความชั่วมาไม่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ความดีความชั่วจึงเป็นเงื่อนไขที่ส่งผลให้คนนั้นเกิดมาไม่เหมือนกัน บางคนเกิดมาเป็นลูกเศรษฐีร่ำรวย บางคนเกิดมาเป็นคนจน คนที่เป็นเศรษฐีก็ใจเหี้ยมเหลือเกิน คนเป็นคนจนก็ใจดีเหลือเกิน อะไรทำนองนี้เป็นต้น ต่างคนต่างมีไปคนละอย่าง ทฤษฎีการเกิดใหม่นี่บอกได้ ทำกรรมมาไม่เหมือนกัน ชาติก่อนทำกรรมอย่างไรก็ต่างคนต่างทำ ชาตินี้ก็ได้ไม่เหมือนกัน

พระพุทธศาสนาท่านได้กล่าวว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปณีตตาย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีให้ชั่วแตกต่างกันไป

กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ที่ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมก็หมายความว่า เราทำอย่างไรเราก็เป็นอย่างนั้น

 

ข้อยืนยันการตาย-เกิด
อัจฉริยภาพของคนบางคน

ทีนี้ประเด็นต่อมาคือ การยืนยันการตายเกิด อัจฉริยภาพของบางคนตั้งแต่เกิดเป็นเครื่องยืนยันว่าคนเราตายแล้วเกิด เชื่อไหมว่า บางคนเกิดมาตั้งแต่เป็นเด็กๆ นี่มันฉลาด ไม่รู้มันเอาความฉลาดมาจากไหน นี่นานๆ จะมีอย่างนี้สักคน

ไม่ต้องอื่นไกล เมื่อเร็วๆ นี้ ประมาณ 3-4 ปี ที่เมืองไทยเรานี้มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่ง ด.ช.ประสิทธิ์ ชื่อเล่นต้น อายุไม่ถึง 7 ขวบ สามารถบวกลบคูณหารหลักล้านหลักแสนภายในพริบตาเดียว วินาทีเดียว ไม่ต้องคิดเลย ขอให้บอกโจทย์มาตอบทันที อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการหรืออะไรนี่ คนแถวนั้นเรียกว่า เด็กหัวคอมพิวเตอร์

เวลาเขาขายปลา เขาก็จะให้ไอ้หมอนี่เป็นคนคิด บอกมาแล้วแกก็บอกผลลัพธ์ได้ทันทีเท่านั้นร้อย เท่านี้พัน อะไรต่างๆ นี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียน ยังไม่ได้เรียนที่ไหนเลย แต่ว่ามีความสามารถในเรื่องการบวกลบคูณหารเรื่องเลขจนเป็นที่อัศจรรย์ จนกระทั่งเขาเรียกว่าเด็กคอมพิวเตอร์

ก็มีอาจารย์จากจุฬาฯ ไปนำมาทดสอบไอคิว ให้คิดเลขแข่งกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็แข่งกันทั้งเครื่องทั้งคน ไม่มีใครแพ้ใครชนะ

มีอยู่ครั้งหนึ่งเด็กบอกว่าเครื่องผิด เขาบอกว่าเครื่องมันจะผิดได้อย่างไร เด็กบอกว่า เอาใหม่ ใช้โจทย์เดิม ปรากฏว่าออกมาตรงตามที่เด็กคิด แสดงว่าเครื่องนั้นผิดจริงๆ เด็กคนนี้ไม่ได้เรียน สิ่งที่อยากจะฝากไว้ให้คิดนี่ก็คือ ความเก่งกาจเรื่องการคำนวณนี้มาจากไหนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เรียน

คนที่ไปทดสอบเขาถามว่า 330,000 กับ 340,000 เป็นเท่าไร เด็กชายต้นบอกได้ทันทีว่า 670,000 สิบสองล้านมีกี่สลึง 48 ล้านสลึง 35,000 บาทมีกี่สลึง 140,000 สลึง มันตอบได้ทันที เขาอัศจรรย์ใจมาก แต่เขาก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น นี่คืออัจฉริยภาพของคนบางคนตั้งแต่เกิด

ที่น่าประหลาดใจก็คือ หมอนี่เก่งแต่เรื่องคำนวณเท่านั้น เรื่องอื่นไม่รู้เรื่องเลย เรื่องอย่างนี้มีเกิดขึ้นบ่อยๆ

ถ้าใครติดตามหนังสือ Guinness Book of Records เขาจะบันทึกเรื่องเด็กอัจฉริยะนี้ไว้มาก เด็กอเมริกันคนหนึ่งชื่อว่าคริสเตียน เฮนไนเก้น พอคลอดออกมา 3 ชั่วโมง ก็พูดได้เป็นคำพูด รู้เรื่องเลย

อายุ 1 ขวบ อ่านคัมภีร์ไบเบิลได้

อายุ 2 ขวบ สามารถตอบคำถามภูมิศาสตร์ได้คล่องแคล่ว

อายุ 4 ขวบ เป็นนักเรียนปรัชญา แสดงปาฐกถาต่อหน้านักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลายเป็นที่อัศจรรย์ใจมาก

รายที่ 2 ชื่อว่าวิลเลี่ยม เจมส์ โซดิส อยู่ที่อเมริกาเหมือนกัน เขียนหนังสือได้เมื่ออายุ 2 ขวบ อายุ 8 ขวบพูดภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย ละติน กรีก ได้คล่องแคล่ว

แล้วรายที่ 3 เด็กอเมริกันคนหนึ่งเกิดได้ 55 วัน พูดได้คล่องเหมือนผู้ใหญ่ทั่วๆ ไป

สิ่งเหล่านี้มันจะมีปรากฏเป็นระยะๆ ความเป็นอัจฉริยะของคนบางคนตั้งแต่เกิดเอาทฤษฎีอะไรมาอธิบาย เอาวิชาการสมัยใหม่มาอธิบายไม่มีใครสามารถอธิบายได้

แต่ถ้าหันมาถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอธิบายได้

นี่เป็นเรื่องของกรรมเขาทำมา แสดงว่าเด็กที่เก่งคำนวณ ชาติก่อนมันคงเป็นโปรเฟสเซอร์วิชาคำนวณ คำนวณจนหัวใจวายตายแล้วมาเกิดใหม่

ถ้าคิดในแง่ดี เจ้าชายสิทธัตถะเกิดมาเดินได้ทันที ไม่ใช่เรื่องที่เหลือวิสัย ถ้าเราจะตีความตามตัวอักษรจริงๆ เพราะมันเป็นเรื่องของอัจฉริยะ ของคนพิเศษ ซึ่งนานๆ จะมี

แต่ที่น่าคิดที่สุดคือ คนอัจฉริยะที่เขาค้นพบนี่ อายุไม่ยืน เด็กที่เก่งๆ นี่ตายไปหมดแล้ว เด็กไทยคนหนึ่งพ่อเป็นจีนฮ่องกง แม่เป็นไทย อยู่อเมริกา เมื่อไม่กี่ปีมานี่ อัจฉริยะเหมือนกัน อายุไม่กี่ขวบเรียนมหาวิทยาลัยแต่รู้สึกว่าลำบากแม่มาก แม่ต้องขับรถไปส่ง เข้าห้องเรียนแม่ก็ต้องนั่งเฝ้า รอให้ลูกเรียนจบแล้วก็รับกลับเหมือนเด็กอนุบาล

แต่เวลาเรียนหนังสือมันเก่ง เก่งยิ่งกว่าพวกนิสิต-นักศึกษา ตอนนี้กำลังทำปริญญาโทอยู่มั้ง เป็นเด็กมีเชื้อไทยแต่นามสกุลเป็นจีน เพราะว่าพ่อ-แม่เป็นจีนฮ่องกง

นี่คืออัจฉริยะของคนบางคนตั้งแต่เกิด เป็นเครื่องยืนยัน

ผมเองก็เคยประสบมาเป็นส่วนตัว

ผมรู้จักพระรูปหนึ่ง ไม่รู้ไปไหนแล้วตอนนี้ ชื่อว่ามหาระมัด เป็นศิลปินเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง ไปอยู่วัดไหนก็ไปเสนอเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์ให้เขา เป็นคนร้อนวิชา เขียนไม่จบก็หนีไปเรื่อย ญาติโยมก็ตามไปให้มาเขียนภาพต่อ

พระรูปนี้แปลก ผมสัมภาษณ์ว่าท่านเขียนภาพเป็นตั้งแต่เมื่อไร เรียนมาจากไหน ท่านบอกท่านไม่ได้เรียน คือมันเกิดขึ้นมาเอง อยู่ๆ วันหนึ่งก็ไปดูช่างภาพเขียนภาพในโบสถ์ แล้วก็มีความสุขรู้สึกว่ากูก็เขียนได้ บอกมีเสียงกระซิบว่าคุณเขียนได้ ก็เลยจับพู่กันเขียน มันเกิดเขียนได้เก่งเหมือนกับคนที่เรียนมาเชี่ยวชาญ เหมือนกับศิลปินที่เชี่ยวชาญ

ตั้งแต่นั้นท่านก็เขียนไปเรื่อยๆ เป็นศิลปินโดยอัตโนมัติ อยู่ๆ ก็เป็น ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากไหน

หลวงพ่อที่วัดก็บอกว่าให้ครอบซะ เพราะโบราณเรื่องศิลปินศิลปะจะต้องทำพิธีครอบ ท่านเกิดมีทิฐิมานะ ก็บอกว่าผมเป็นของผมเอง ไม่มีใครเป็นคนสอน ผมจะต้องครอบทำไม ก็เลยไม่ครอบทำพิธี ทำให้ร้อนอาสน์ อยู่ที่ไหนก็ไม่ยืด

นี่เป็นเรื่องที่ผมเห็นมาว่าคนไม่เรียนก็เป็นศิลปินวาดภาพได้ ถ้าเอาทฤษฎีการเกิดใหม่ของพระพุทธเจ้ามาตัดสินไม่มีปัญหาหรอก เพราะชาติก่อนเขาทำเงื่อนไขปัจจัยอย่างนี้ไว้ ชาตินี้เขาจึงเป็นอย่างนั้น