ฟ้า พูลวรลักษณ์ : ส.ศิวรักษ์ / บก.ลายจุด / ประเทศเผด็จการ / สิงคโปร์

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๘)

ฉันฟัง ส.ศิวรักษ์พูด

ฉันเห็นด้วยกับท่านหนึ่งในสาม เฉยๆ หนึ่งในสาม และไม่เห็นด้วยหนึ่งในสาม ที่จริงก็เป็นเรื่องปกติ เพราะมนุษย์เรามีความแตกต่าง แต่ละคนคิดเห็นไม่เหมือนกัน การที่ฉันเห็นด้วยหนึ่งในสาม ก็ถือว่าเยอะ การที่ฉันเฉยๆ หนึ่งในสามก็ปกติ เพราะความชอบของเราไม่เหมือนกัน อดีตของเราไม่เหมือนกัน ฉันเฉยๆ เพียงเพราะว่าสิ่งเหล่านั้น ฉันไม่สนใจ มันจะจริงหรือไม่ ก็ไม่แปลก

สิ่งที่ฉันไม่เห็นด้วยหนึ่งในสาม อันนี้น่าคิด มันเกิดจากความไม่รู้ของฉัน หรือเพราะท่านมีอคติเกินไป มีความคับแคบเกินไปหรือเปล่า กาลเวลาจะพิสูจน์

แต่ฉันชมท่านมาก ว่าแม้ท่านจะมีอายุมากแล้ว คือ ๘๖ ปีแล้ว แต่ท่านยังแหลมคมเป็นอันมาก สังเกตเห็นได้ชัดเวลาท่านให้สัมภาษณ์พร้อมกับคนอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นหนุ่มสาวกว่าท่านมาก แต่ท่านก็ยังแหลมคมกว่า มีสตินิ่งกว่า

สิ่งนี้หาได้ยาก

ในสังคมไทย จะมีคนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น พ้นจากเขา ก็ไม่มีคนอื่นอีก รวมไปถึงคนอย่างลีน่าจัง เธอก็มีเอกลักษณ์ แม้ฉันจะเห็นด้วยกับเธอเพียงสิบเปอร์เซ็นต์ หรือน้อยกว่า แต่ก็ยอมรับว่าเธอไม่เหมือนใครเลย

หรือคนอย่างเจ้าสำนักพรรคเกรียน บ.ก.ลายจุด ทำไมเขาไม่เข้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มประชาธิปไตยคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้เพราะนั่นจะจริงจังเกินไป บทบาทที่เหมาะกับเขา คือการเป็น comedian แห่งประชาธิปไตย มันเป็นบทบาทที่โดดเด่น และไม่เหมือนใคร เขาต้องฉายเดี่ยว

บ.ก.ลายจุด เขาเป็นคนฉลาด หลักแหลม มีมนุษยธรรม และเป็นคนตลกขบขัน

อย่าไปคิดว่า comedian เป็นตำแหน่งเล็ก เพราะในละครเช็กสเปียร์ ส่วนใหญ่จะต้องมีตัว comedian และบางเรื่อง ตัวตลกมีบทบาทเสมอเหมือนพระเอกเลยทีเดียว บางคนกล่าวว่า ตัวตลกลึกซึ้งยิ่งกว่าตัวเอกเสียอีก

เขาคือ comedian ฝ่ายซ้าย ที่ยังไม่เห็นคู่ปรับฝ่ายขวาเลย

อาจเพราะฝ่ายขวา ไร้อารมณ์ขัน

ส.ศิวรักษ์เป็นคนดังทางด่า เป็นคนปากร้าย เขาจะวิจารณ์ตรงๆ ตรงนี้เองที่มีสิ่งที่ฉันไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่า นี้คือเขา เราไม่อาจคาดหวังคนที่ปากร้าย พูดตรงกับใจของเราทุกอย่าง

แน่ละ เขาเป็นคนสุภาพ คำว่าปากร้าย หมายถึงเขาพูดแรง แต่ไม่ได้หยาบคาย

เขาด่าเผด็จการอย่างรุนแรง และตรงๆ อันนี้ฉันนับถือ

สิ่งที่ฉันไม่เห็นด้วย มาจากการตีค่าของประชาธิปไตย ที่ฉันรู้สึกคับแคบ และวนอยู่ในคอนเซ็ปต์ที่เขาคุ้นเคย

เขาเป็นอนุรักษ์ประชาธิปไตย ที่เวลาพูดแต่ละครั้ง เหมือนหนึ่งว่า นี้คือความจริงสุดท้าย

แน่ละ ไม่มีอะไรในโลกนี้ดีพร้อม โลกนี้ไม่มีความ perfect

ยกตัวอย่างเช่น สิงคโปร์ เพื่อนของฉันคนหนึ่งเกลียดชังมาก เขาไปเที่ยวประเทศนี้ได้ไม่กี่วัน แล้วบอกว่า ประเทศนี้ไม่มีวัฒนธรรม ไม่มีตัวตน ไม่มีประวัติศาสตร์ มีแต่ระเบียบและความสะอาด ช่างว่างเปล่าอะไรเช่นนั้น

บางคนด่าว่า นี้เป็นประเทศเผด็จการ เป็นสัตว์เศรษฐกิจ

มองในมุมหนึ่ง ฉันเห็นด้วยทุกอย่าง เพราะเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยแรกที่ฉันไปประเทศสิงคโปร์ ฉันก็รู้สึกอย่างนั้น

แต่วันนี้ฉันสังเกต ความแตกต่าง ฉันพบว่าประเทศสิงคโปร์

ดูแลต้นไม้ดีมาก เรียกว่าทะนุถนอม ต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้า มีมากมาย ทั้งที่เป็นประเทศเล็ก แต่สวนสาธารณะของพวกเขางดงามเป็นอันมาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ต้นไม้ตามถนนหนทาง ก็มีมากมาย และไร้สิ่งใดไปรบกวน นานมาแล้ว ฉันอาจไม่มองสิ่งนี้ แต่วันนี้ ฉันมองสิ่งนี้เป็นสิ่งแรก นี้คือจิตสำนึกของคนรุ่นใหม่

เวลาฉันขึ้นรถไฟฟ้า ส่วนใหญ่ จะมีคนลุกให้ฉันนั่ง ทั้งที่ร่างกายฉันแข็งแรง และฉันอายุยังไม่มากนัก แค่ ๖๕ เท่านั้นเอง ฉันรู้สึกเขิน แต่แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่า ประเทศนี้ให้คุณค่าแก่ผู้อาวุโส เทียบกับเมืองไทย ฉันขึ้นรถไฟฟ้าพันครั้ง อาจจะมีหนึ่งหรือสองครั้ง ที่จะมีคนลุกให้ฉันนั่ง นี้เป็นชาติที่ไม่ให้ค่าอาวุโส และนั่นเท่ากับว่า เป็นสังคมตัวใครตัวมัน ลำพังข้อนี้ข้อเดียว ก็ชดเชยความอ่อนด้อยทางวัฒนธรรมได้

เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญแก่สุขภาพ มีสถานที่ออกกำลังมากมาย อย่างเหลือเฟือ มีที่วิ่ง ที่เดิน ที่ว่ายน้ำ ที่ถีบจักรยาน หรืออื่นๆ มากมายทั่วประเทศ ในวัยชราของฉัน ฉันพบว่าสิ่งนี้มีค่ายิ่ง นี้คือสิ่งพื้นฐานของคุณภาพชีวิต เราอย่ามองข้ามสิ่งนี้ บางประเทศ ฉันเดินแทบตาย ก็ยังยากจะหาสถานที่ที่ฉันจะออกกำลังกาย หรือที่ฉันจะว่ายน้ำ หรือถีบจักรยาน มันไม่มี เพราะรัฐไม่ได้ออกแบบสิ่งนี้ให้ประชากรของเขา

ความมีระเบียบ และสะอาด ฉันสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็ว และปลอดภัย และมีความสุขตลอด ๒๔ ชั่วโมง ฉันจะหวังอะไรจากรัฐอีก ในฐานะประชากรคนหนึ่งในชาติ ฉันต้องการความปลอดภัย ความสะดวก ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกันหมด รถเมล์มีมากมายหลายร้อยสาย และตรงต่อเวลา

มีกฎหมายมากมายที่รักษาผลประโยชน์ของสาธารณะ

มีความเข้มงวดทางกฎหมาย

แต่ไม่มีผลร้ายต่อประชาชนที่รักษากฎหมายเลย

จริงอยู่ ในสิ่งเหล่านี้ ย่อมมีข้อเสียบ้าง ที่ฉันสังเกตคือ ผู้คนจะแข่งขันกันมาก ทำให้เกิดความเครียด เทียบไป คนไทยยังอยู่แบบสบายๆ แบบยังไงก็ดีกว่า

แต่ทว่า ฉันคิดถึงประเทศที่มีวัฒนธรรมสูง มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เช่น อินเดีย ซึ่งสมัยก่อนฉันไปท่องเที่ยวอย่างซาบซึ้ง เหมือนได้เรียนรู้ชีวิตใหม่ แต่ทว่ามองในมุมกลับ ประเทศนี้สกปรก ไร้ระเบียบ วุ่นวาย ชีวิตอยู่อย่างไม่ปลอดภัย เขามีวิหารอลังการจริง แต่ข้างวิหารนั้น มีกองขยะ มีหลุมบ่อ

สิงคโปร์ เป็นประเทศที่ดีสำหรับคนแก่และเด็กๆ ซึ่งกำลังเติบโต

อินเดียที่มีประวัติศาสตร์และอารยธรรมอันยาวนาน เราต้องถามว่า คนแก่และเด็ก มีสิ่งใดมารองรับ และถามต่อมาว่า คนหนุ่มสาวมีสิ่งพื้นฐานใดมารองรับ

แน่ละที่ฉันเปรียบเทียบสองประเทศนี้ เพราะมันตรงข้ามกัน และต่างก็มีข้อดีข้อเสีย อยู่ที่คุณมองเห็นคุณค่า การจะให้มัน perfect มันทำไม่ได้ ทุกชนชาติต้องมีปัญหาบางอย่างที่แก้ได้ยาก

ถ้าจะเรียกชาวสิงคโปร์ว่าสัตว์เศรษฐกิจ

แล้วคนอินเดียเป็นอะไร พวกเขาไม่ใช่สัตว์เศรษฐกิจหรอกหรือ หรือเป็นแมลงเศรษฐกิจ

และคนไทยล่ะเป็นอะไร หรือเป็นหนอนเศรษฐกิจ

ประเทศจีนยิ่งน่ากลัวไปกว่า และฉันมองด้วยความหวั่นใจ

เราไม่รู้จริงๆ ว่าประเทศนี้จะไปทางไหน จะเปลี่ยนแปลงเป็นอะไร

พวกเขาเป็นสัตว์เศรษฐกิจแน่นอน และอาจเป็นมากกว่านั้น

พวกเขาอาจเป็นหุ่นยนต์ เป็นกากเดนของสมองกล

หรืออาจเป็นจ้าวโลก เป็นจ้าวระบบสุริยจักรวาลก่อนชาติใดในโลก

เพราะพวกเขามีความสามารถสร้างถนนไปถึงดวงจันทร์

พวกเขาสามารถขุดอุโมงค์ไปถึงดาวอังคาร